ไปฆ่าเวลาที่ร้านหนังสือให้สนุก

เวลาไปร้านหนังสือ คุณทำอะไรบ้าง ? ไปรอเพื่อน พาลูกไปทิ้งไว้แล้วหนีไปชอบปิ้ง หรือตรงดิ่งไปหาซื้อหนังสือที่ต้องการทันที หรือไปพลิกอ่านเรื่อย ๆ เพื่อฆ่าเวลา ถ้าเข้าท่าแล้วค่อยซื้อ
เมื่อมีโอกาสไปที่ร้านหนังสือแล้ว อย่ายืนเซ็งอยู่เฉย ๆ เลย นี่เป็นรายการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้ทำแล้ว คุณอาจจะสนุกพร้อมกับได้สาระไปด้วย
๑. อ่านสารบัญหนังสือให้ได้อย่างน้อย ๑๐ เล่ม สารบัญหนังสือเป็นความคิดรวบยอดในหนังสือเล่มนั้นเลยว่ามันจะกล่าวถึงอะไรบ้าง เป็นการลดขั้นตอนการพลิกผ่าน ๆ ไปแต่ละหน้าได้ อีกทั้งยังทำให้คุณเปรียบเทียบได้ทันทีเลยว่า หัวข้อเหล่านั้นมันเป็นเรื่องที่คุณรู้ไหม ? และคุณต้องการจะรู้ไหม ?
๒. อ่านนิทานหนึ่งเรื่อง การอ่านนิทานทำให้เราสดชื่น ทำให้เราอมยิ้มว่า เอะ ... ทำไมตอนเด็ก ๆ เราถึงได้ชอบมันนัก แม้กระทั่งตอนโตแล้วเราก็ยังชอบฟังถ้าจะมีใครอ่านให้เราฟัง เชื่อไหม ? การอ่านนิทานบางเรื่องในตอนที่คุณโตแล้ว มันสร้างความอ่อนโยนในตัวคุณขึ้นได้นะ ( หากคุณไม่ใช่คนที่เร่งรีบอยู่ตลอดเวลา )
๓. อ่านสักหนึ่งบทความสั้น ๆ ในนิตยสาร ประเภทเคล็ดลับอะไรสักอย่าง เพื่อเอามาปรับใช้กับตัวเราเองได้
๔. อ่านบทความสัมภาษณ์ใครสักคนก็ดี มันจะทำให้เรารับรู้โลกทัศน์ของคนอื่น
๕. ดูปกหนังสือที่มีชื่อเรื่องในแนวเดียวกัน จะได้เกิดความสงสัยไงว่า เรื่องนี้มันกำลังเป็นที่นิยมมากหรืออย่างไร ? จึงมีคนเขียนมันออกมามากแบบนี้ นั่นไง ... คุณรู้เรื่องการตลาดของหนังสือแนวนี้เพิ่มขึ้นแล้ว
๖. ดูอันดับหนังสือที่ทางร้านบอกว่าขายดี ก็ดูไปงั้น ๆ เชื่อไม่เชื่อเป็นสิทธิ์ส่วนตัวของเรา ถือเสียว่าดูแนวโน้มของตลาดหนังสือก็แล้วกัน
๗. ไปที่มุมหนังสือท่องเที่ยว เปิดอ่านสักหนึ่งเล่ม ในเมื่อเราไม่มีโอกาสได้ไปเองจริง ๆ ก็เปิดหูเปิดตากับการที่คนอื่นเขามาเล่าให้ฟังก็แล้วกัน
๘. ไปดูภาพในหนังสือตกแต่งบ้านจัดสวน ให้มันสบายอกสบายใจ พร้อมกับเกิดความอยากขึ้นนิด ๆ ( แย่หน่อย บางเล่มจะหุ้มพลาสติกเอาไว้ )
๙. นับหนังสือที่มีคนแต่งคนเดียวกัน ( แล้วก็อิจฉาว่า ทำไมเขาเขียนออกมาได้หลายเล่มจัง ของเราจะเข็นออกมาสักเล่ม แทบตาย ... )
๑๐. สังเกตพฤติกรรมคนทั่วไป ที่กำลังเลือกอ่านหนังสือ สัก ๓ นาที ( อย่าจ้องจนเป็นที่รำคาญของคนอื่นเขานะ ต้องทำอย่างมีมารยาท และแนบเนียน )
๑๑. อ่านพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ หรือ โปรยปกนิตยสารทุกเล่ม ( จะได้รู้แนวโน้มของเรื่องรอบตัวที่เกิดขึ้น )
๑๒. สำหรับนวนิยาย อ่านย่อหน้าแรก และย่อหน้าสุดท้ายของเรื่อง ( คุณประทับใจไหม ? อยากเปลี่ยนอะไรไหม ? ถ้าคุณมีโอกาสเขียนเอง)
๑๓. อ่านปกหลังหนังสือให้ได้อย่างน้อย ๑๐ เล่ม ก็จะได้รู้เรื่องย่อ ๆ ของหนังสือเล่มนั้น นั่นแหละ แล้วลองเปรียบเทียบชื่อเรื่อง กับ สิ่งที่คุณอ่านปกหลังด้วยละ มันเข้ากันไหม ? มันดึงดูดใจไหม ?
๑๔. อ่านคำนิยมในหนังสือเล่มนั้น ๆ ( ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แค่ดูวิธีเขียนคำนิยมของเขาเท่านั้น แล้วคุณจะเห็นความซ้ำซาก หรือประโยคเด็ด ๆ ถ้ามีโอกาสได้เขียนคำนิยมให้ใครสักคน จะเขียนยังไง )
๑๕. อ่านตำรับอาหารสัก ๑ อย่าง ง่าย ๆ ( ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำให้เป็น แค่รู้ว่าเขาใส่อะไรให้มันออกมาเป็นแบบนั้นก็ได้)
๑๖. สังเกตการจัดวางหนังสือ รู้ไหม ? เขาจัดแยกประเภทอย่างไร ทำไมหมวดนี้ต้องอยู่ด้านหน้า หนังสือประเภทไหนจึงอยู่หลังร้าน หนังสือแบบไหนที่ต้องอยู่ใกล้โต๊ะแคชเชียร์ ถ้าคุณมีโอกาสเป็นเจ้าของร้านหนังสือ จะจัดแบบนี้ไหม ? แล้วมันเป็นแบบนี้ในทุก ๆ ร้านที่คุณเคยไปหรือเปล่า
๑๗. ไปที่มุมหนังสือกฎหมาย อ่าน กฎ หมายครอบครัว สัก ๑ มาตราเป็นไง ถ้าคุณสนใจกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ไม่ว่ากัน แล้วแต่คุณสนใจ อ่านสะสมครั้งละ ๑ มาตรา ทุกครั้งที่มาร้านหนังสือ คุณก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ กฎหมายเพิ่มขึ้น โธ่... ถ้าคุณไม่ได้เรียนนิติศาสตร์ หรือเป็นทนาย มีรึ ? ที่คุณจะมีโอกาสได้อ่านหนังสือกฎหมายง่าย ๆ อย่างนี้
๑๘. หยิบหนังสือตามใครสักคนที่คุณสนใจ อะ..อะ.. ไม่ได้ให้คุณไปสร้างความรำคาญใจหรือตามจีบใครนะ เด็กสักคน วัยรุ่นสักคน ผู้หญิง ผู้ชาย หนุ่มหรือแก่ ก็แค่อยากรู้ว่า เขาให้ความสนใจในหนังสืออะไรเท่านั้น เหมือนคุณรึเปล่า ?
๑๙. สังเกตพฤติกรรม ของคนซื้อที่มาด้วยกัน โดยเฉพาะ แม่กับลูก แล้วคุณจะเห็นการต่อรองชนิดที่คุณคาดไม่ถึง เมื่อลูกอยากได ้แต่แม่ ... ไม่ หรือกลับกัน
๒๐. สุดท้าย ยังไง ๆ ก็มาแล้ว ติดไม้ติดมือกลับบ้านสักเล่มเถอะ เอาเล่มเล็ก ๆ บาง ๆ ก็ได้ นะ นะ

(   ดิฉันชอบเข้าร้านหนังสือ เพราะเป็นคนชอบหนังสือ เวลาเห็นมันวางอยู่ชั้นหนังสือที่บ้านแล้วก็มีความสุข แม้ว่าบางเล่มจะได้อ่านแค่สารบัญเท่านั้น เพราะบางครั้งก็ซื้อมาเก็บมากกว่าอ่าน แล้วก็ให้เหตุผลกับตัวเองว่า หนังสือบางเล่มไม่จำเป็นต้องอ่านมันทั้งเล่มก็ได้ อ่านเฉพาะที่ต้องการรู้ก็น่าจะคุ้มกับเงินที่เสีย( ดาย )ไป.... )


ฟีลิปดา
๑ กันยายน ๒๕๔๘