๑๐๑อย่างเกี่ยวกับฟีลิปดา
:+:+:+:+:
ฟีลิปดา เป็นนามปาก ได้มาจากความต้องการหาคำไทย ๆ ที่ไม่ทับศัพท์มาใช้ จึงไปเปิดดูพจนานุกรมฉบับนักเรียน เห็นคำนี้ ชอบใจเลยเลือก
หมายถึง มาตราวัดมุมเท่ากับหนึ่งในหกสิบส่วนของลิปดา ชอบใจทั้งเสียงและความหมายเลยเลือกคำนี้ ด้วยความที่ตัวหนังสือเล็กมาก มองไม่ชัด จึงเห็นเป็น ฟีลิปดา ตอนหลังไปเปิดเล่มใหญ่กว่าจึงเห็นที่ถูกต้องคือ พิลิปดา
แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ก็ชอบแล้ว จึงใช้มาโดยไม่รู้ว่าจะมีความหมายว่าอย่างไร
สรุปชื่อนี้จึงได้มาเพราะความผิดพลาด
การเรียน
๑.วิชาเรียนที่ลอกเพื่อนคือ คณิตศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ นอกนั้นให้เพื่อนลอก
๒.คิดว่าตัวเองเก่งที่สุดก็ตอนอยู่ มัธยมปลาย ความรู้แน่นมาก ๆ พอเข้ามหาลัยเป็น เบลอ ๆ แฮะ
๓.เป็นเด็กต่างจังหวัด เข้าเรียนธรรมศาสตร์ สมัยที่ยังมีคำขวัญว่า หากขาดโดมเจ้าพระยา ท่าพระจันทร์ เสมือนขาดสัญลักษณ์พิทักษ์ธรรม และเข้ากลุ่มเพื่อนใหม่ที่เคยถกเถียงกันว่า ความดีคืออะไร?
๔.ลงทะเบียนเรียนที่รามด้วย เพราะเพื่อน ๆ เราอยู่กันแยะ แต่เรียนรามไม่จบเพราะ ...
๕.เรียนจบรัฐศาสตร์บัณทิต วิชาที่ได้ A จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร แต่เกี่ยวกับประชาธิปไตย นี่แหละ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับวิชาที่ได้ F คือหลักเศรษฐศาสตร์จุลภาค การได้ F วิชานี้ทำให้ตัดสินใจเรียนวิชาโทเป็นเศรษศาสตร์ทันที ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาโทอยู่แล้วเชียว ผลการเรียนฝืดน่าดูเกรดเฉลี่ยสองกว่าต่ำ ๆ แล้วก็ได้ข้อคิดในตอนหลังว่า อย่าทำอะไรแค่ท้าทาย หรือสะใจตัวเอง จงทำในสิ่งที่เรารักด้วย
๖.เรียนมหาวิทยาลัย ชอบอาจารย์ที่ชื่อ ซีรอกซ์ มาก ^---^ ลงทะเบียนเรียนด้วยเกือบทุกวิชา ตอนรับปริญญาดันลืมไปถ่ายรูปคู่ด้วย ไม่สำนึกเล้ย ! อกตัญญูจริง ๆ เลยเรานี่
๗.ประสบการณ์สมัยเป็นนักศึกษาที่ชอบคือการออกค่าย ไปที่จังหวัดเลย อากาศหนาวและแห้งมาก เวลาหวีผมจะเกิดประกายไฟแล่บ จากไฟฟ้าสถิตเลย เพิ่งเคยเห็นจริง ๆ เชยไหม?
๘.เคยเข้าคอร์สเรียนสนทนาภาษาญี่ปุ่นเบื้องต้น ที่สมาคมศิษย์เก่านักเรียนญี่ปุ่นราชดำริ ได้ใบประกาศมา ๑ ใบ
๙.เคยเข้าคอร์สเรียนภาษาจีนของ OCA อยู่สามคอร์ส อย่างน้อยก็อ่านพิน-อิน เป็น
๑๐.สิ่งที่เรียนมาแล้วเสียดายมาก คือ สมัยมัธยมเรียนภาษาฝรั่งเศส เก่ง ได้ A พอเข้ามหาวิทยาลัยทิ้งไปเลย ตอนจบทำงานก็ไม่ได้สนใจ พยายามจะรื้อฟื้น แต่ต่อไม่ติดเลย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร สงสัยสมองมันแก่ไป ^--^
๑๑.จึงได้ข้อสรุปอันหนึ่งว่า ภาษาหากเรียนไปแล้วไม่ได้ใช้ ลืม หมดแน่ ดังนั้นที่เรียนมาทั้งหมด แหะ ... ลืมแล้ว
๑๒.หากว่าง ก็มีความตั้งใจว่า จะพยายามฝึกเรียนภาษาลาติน ด้วยตัวเอง ในอินเตอร์เน็ท ( เอากับความอยากของคนสิ อยากทำโน่นทำนี่อยู่เรื่อย )
การอ่านหนังสือ
๑๓.เป็นคนชอบอ่านหนังสือนวนิยายในตอนเรียน แต่ตอนสอบเอนทรานซ์ชอบอ่านหนังสือเรียน หาหนังสือมาเป็นตั้ง ๆ แล้วอ่าน มีความสุขจริง ๆ
๑๔.ตอนเรียนชั้นมัธยม เป็นเวลาที่ได้อ่านหนังสือในห้องสมุดมากที่สุด
๑๕.นวนิยายไทยเล่มแรกที่อ่านจำไม่ได้ แต่นวนิยายกำลังภายในคือ ฟ้าสังหาร
๑๖.นวนิยายแปลเรื่องแรกที่อ่านอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยคือ ความพยาบาท งานเขียนของ มารี แมคคอรี่ นี่ชอบน่ะ
๑๗.หนังสือกำลังภายในที่ทำให้เรียนรามฯไม่จบคือ มังกรหยก มัวแต่อ่านเลยไม่ไปสอบ เอาไปเอามาเลยเลิกเรียนไปเลย พอมาย้อนคิด เสียดายนะ หากตั้งใจสักนิด คงได้ปริญญามาเพิ่มอีกใบ การอ่านหนังสือที่ไม่รู้จักจัดสรรเวลาให้ดี ก็เป็นโทษ เหมือนกันนะ ขอบอก
๑๘.นวนิยายไทยที่อ่านและประทับใจเป็นพิเศษคือ เรื่องเพชรพระอุมา ทึ่ง คุณพนมเทียนมากเลย เขียนไปได้ยังไงยาวขนาดนั้น แถมยังทำให้เราอ่านได้เป็นสามรอบสี่รอบไม่เบื่อด้วยนี่สิ
๑๙.ชอบอ่านนวนิยายทุกแนว ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ตะลุยอ่านเป็นพัก ๆ
๒๐.ชอบการซื้อหนังสือ ตั้งใจจะทำห้องสมุดที่บ้าน
๒๑.อ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น ไม่ค่อยเข้าใจ ไม่รู้จะอ่านช่องไหน ตรงไหน งง !
๒๒.หนังสือที่มีอิทธิพลต่อชีวิต มีหลายเล่ม โดยมากจะเป็นของเดล คาร์เนกี้ ได้ปรัชญาในการใช้ชีวิต และการทำงาน
๒๓.จำได้ว่า การชอบเรียนภาษามาจาก นวนิยายเรื่องอุบัติเหตุ ของกนกเรขา นางเอกเรื่องนี้พูดได้หลายภาษา อยากพูดได้บ้าง ไม่รู้ไปติดใจอะไรนักหนา แต่ก็ ... แค่อยาก
๒๔.การอยากสวดคาถาชินบัญชรให้ได้ เกิดจากการอ่านหนังสือ เพชรพระอุมา แต่ตอนนี้ก็สวดไม่ได้ ก็เปิดหนังสือสวดเอาตอนวันเกิดเท่านั้น
๒๕.ตอนทำงานจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจ เป็นส่วนมาก
๒๖.อ่านหนังสือ แห่งการงานอันเบิกบาน ของ พจนา จันทรสันติ เวลาทำงานเหนื่อย ๆ
๒๗.อ่านหนังสือ รินหัวใจใส่ธุรกิจ แล้วทำให้อยากดื่มกาแฟ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็น สตาร์บัค ^--^ ล้อเล่น ...
ความจริงอ่านแล้วได้อะไรมากกว่านั้น
๒๘.หนังสือ เมกาเทรนด์ ทางสายใหญ่สู่อนาคต เป็นหนังสือ
เล่มแรก ที่อ่านแล้วรู้สึกตื่นตัว ถึงสังคมข้อมูลข่าวสารของโลก
(อ่านเมื่อปี 2532 จอห์น ไนซ์บิตต์เขียน- สันติ ตั้งรพีพากร เรียบเรียง)
๒๙. เวลาอยากทบทวนพิน-อินออกเสียงภาษาจีน จะอ่านบทกวี หยกใสร่ายคำ บทพระราชนิพนธ์แปลในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี โดยเฉพาะบท รุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิ ความคิดคำนึงในคืนสงบ และแม่น้ำยามหิมะโปรย สามบทนี้ตั้งใจจะท่องให้ได้ (ความจริงไพเราะทุกบท)
๓๐.ตอนย้ายบ้านอ่านหนังสือตกแต่งบ้าน แล้วก็นึกอยากจะให้มีหนังสือแต่งบ้าน แบบคนจน ๆ บ้าง
๓๑.ที่บ้านรับหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ เป็นสมาชิกสรรสาระ เนชั่นแนลจิโอกราฟฟิค Brand Age C-kid นิตยสารอื่น ๆ จะซื้อเป็นบางโอกาส แต่ชอบซื้อตอนลดราคาในงานสัปดาห์หนังสือ แต่ถ้าได้ไปตลาดสด ลูกๆจะซื้อขายหัวเราะ หนูหิ่น นายดอกไม้ ฯลฯ ประเภทขำขันแบบนี้มาอ่านด้วย
๓๒.เป็นคนที่ ... ใครยืมหนังสือแล้วไม่คืนจะโกรธ ทำหนังสือยับก็ไม่พอใจด้วย เอาสิ ! (ส่วนเงิน ไม่มีให้ใครยืมแล้ว ^---^)
๓๓.หนังสือเกี่ยวกับธรรมะไม่ค่อยจะอ่านเป็นเรื่องเป็นราว นักหรอก แต่ก็ซื้อ พระไตรปิฎกฉบับประชาชนเอาไว้ อีกเล่มก็พุทธธรรม
ซื้อคัมภีร์อัลกุลอานตอนข่าวระเบิดตึกเวิร์ดเทรดเมื่อ 11 กันยากำลังดัง
ส่วน พระคริสธรรมสมัยใหม่ ได้รับแจกฟรี
๓๔.หนังสือชีวประวัติที่อ่าน และชอบก็คือ ข้าพเจ้าทดลองความจริง ของ มหาตมะคานธี หากอยากอ่านและคิดว่ามันหนาไป ก็อ่าน โลกทั้งผอง เป็นพี่น้องกันก็ได้
๓๕.อ่าน Dream Weaver Mx 2004 แล้วก็หัดทำเวปด้วยตัวเอง จนมีเวป forwriter.com นี่แหละ
๓๖.หนังสือ เกี่ยวกับภาษา ASP ยอมแพ้ อ่านแล้วไม่เข้าใจจริง ๆ ภาษา PHP ก็ด้วย เออ... คนมันจะไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจจริง ๆ นะ ทางใครทางมันจริง ๆ
๓๗.การได้เห็นหนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ในเรื่องเดียวกัน หลายสำนักพิมพ์ หลายคนแต่ง ทำให้ได้ข้อคิดว่า หากคุณจะเขียนหนังสือ ขึ้นมาสักเล่ม ถ้ามันเป็นเรื่องที่คุณถนัด และคุณชอบแล้ว อย่าเพิ่งไปท้อว่าจะมีคนเขียนมาก่อนหรือตามหลังคุณ เขียนขึ้นมาเถอะ ยังไง ๆ มันต้องต่างจากคนอื่นแน่นอน สไตล์ใครก็สไตล์มัน
๓๘.หนังสือดังๆ ชอบอ่านตอนมันเงียบ ให้เขาเลิกเห่อแล้วจึงอ่าน
๓๙.บางครั้งเป็นคนช่างวิตกกังวล จึงไม่ชอบอ่านสิ่งที่เกี่ยวกับ ดวงชะตา ล่วงหน้า (ผ่านไปแล้ว ค่อยอ่านว่า มันจริงหรือเปล่า? ^---^)
๔๐.ตอนนี้ต้องใช้แว่นสายตายาวอ่านหนังสือแล้ว
การงาน & การเขียนหนังสือ
๔๑. วันสุดท้ายที่ทำงานบริษัทคือวันที่ 13 ตุลาคม 2540
๔๒.ตอนนี้ทำอยู่สองอย่าง คือ พยายามเขียนหนังสือที่อยากเขียนให้จบ และ ทำเวป http://www.forwriter.com นี่แหละ
๔๓.อยากเป็นนักเขียนมาตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยม แต่ก็ลืมๆ ไปบ้างเวลายุ่งอยู่กับอย่างอื่น แต่รู้ว่ามันต้องฝังอยู่ข้างในแน่ๆ พอไม่ได้ทำงานเลยได้โอกาสขุดมันขึ้นมาเสียเลย
๔๔.พยายามจะเริ่มงานที่หน้าจอคอมพิวเตอร์จันทร์ถึงเสาร์ เวลาประมาณ 8.30-17.45 น แต่ทำได้ไม่ทุกวัน
๔๕.เขียนได้ดีในวันฝนตก ( หากไฟไม่ดับนะ)
๔๖.เริ่มต้นเขียนหนังสือในปี 2545 เขียนได้ช้ามาก แถมไม่จริงจังเท่าไร จะมาเอาจริงก็ตอนเปิดเวปเมื่อตอนปี 48 นี่แหละ เพราะกลัวว่าจะไม่มีอะไรใหม่ ๆ ในเวป ( กลายเป็นงานไปเสียแล้ว)
๔๗.หนังสือเล่มแรกที่เขียนคือ ดั่งไฟพิศวาส เขียนลงสมุดปกอ่อนลายไทยด้วยดินสอ เขียนที่เก้าอี้นอนพับได้
เขียนประมาณสามบทแล้วก็เปลี่ยนมานั่งพิมพ์ใส่เวิร์ด ตอนนั้นยังใช้ word 95 อยู่เลย
๔๘.หาไอเดีย ไปทั่ว ตั้งแต่คิดเอง อ่านหนังสือ ดูทีวี ฟังเพลง ดูรูปภาพ เล่นอินเตอร์เน็ท ฯลฯ
๔๙.ตั้งใจจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองเอาไว้หลายเล่มเหมือนกัน เพราะตอนทำงานก็ชอบอ่านหนังสือพวกนี้ แต่ยังก่อน ... ไว้ทีหลัง เพราะยังพัฒนาตัวเองยังไม่สำเร็จ ^--^
๕๐.แยกโฟลเดอร์ เกี่ยวกับหนังสือที่จะเขียนเป็น คู่มือนักเขียน และนวนิยาย ในแต่ละโฟลเดอร์ก็จะแยกย่อยเป็นแต่ละโฟลเดอร์ของ
หนังสือ แต่ละเล่ม แต่ละเล่มก็จะมีไฟล์ ไอเดีย บทที่ และเก็บตก (หมายถึงเขียนไปแล้วไม่ชอบใจ ก็ cut มาไว้ที่นี่ก่อนเผื่อเปลี่ยนใจ )
๕๑.เวลาคิดเค้าโครง หรือ พล็อตเรื่องสั้น ๆ ชอบนอนเขียนลงกระดาษก่อนแล้วจึงมาลงคอมฯทีหลัง
๕๒.แต่ถ้าจะเขียนเรื่องย่อ ๆ สักสองสามหน้า จะพิมพ์ลงคอมฯเลย เพราะเข็ดแล้ว เวลาเขียนเยอะๆ มาพิมพ์ลงคอมฯ ทีหลังมันเยอะ เหมือนทำงานซ้ำซ้อน เซ็งน่าดูเลย
๕๓.เขียนหนังสือนวนิยายจะวางพล็อตเรื่องก่อน หากเป็นหนังสือคู่มือการเขียน จะวางสารบัญให้ได้เสียก่อน แล้วจึงลงมือเขียน
๕๔.เขียนนวนิยาย ถ้าคิดสนุก หรือคิดไม่ออกก็จะ pre-write โดยการหาภาพดารา หรือ ภาพสถานที่ เหตุการณ์ ที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ในเรื่อง มาปะติดต่อกันเอาไว้ให้เป็นเรื่องเป็นราว ช่วยทำให้จินตนาการได้ง่ายด้วย ลองดูสิ
๕๕.ถ้าขยัน ก็จะใช้ Photoshop แบบงูๆ ปลา ๆ ออกแบบปกหนังสือ สร้างจินตนาการ หาแรงจูงใจว่า มันเป็นรูปเล่มแล้ว ตอนตกแต่งรูป ก็จะเปิด word เอาไว้ด้วย เผื่อเกิดไอเดีย จะได้ พิมพ์ลงไปเลย
๕๖.ข้อมูลที่หาโดยมากจะมาจาก internet ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษมากนัก แต่พออ่านจับประเด็นได้ ติดศัพท์ตรงไหนก็ใช้ดิกในเครื่อง ( ก็ปริญญาตรีเมืองไทย ไม่ได้โทษใคร อาจเป็นเพราะเรากลัวมือดำ เลยไม่เอาถ่านเท่านั้น )
๕๗.เคยลองใช้โปรแกรมแปลภาษา ยิ่งงง กว่าเก่า
๕๘.เวลาคิดไม่ออก จะนอน หรือไม่ก็ดูหนัง อ่านหนังสือ ฟังเพลง เดินเล่น ฯลฯ
๕๙.อีกวิธีหนึ่งคือ ต่อจิ๊กซอร์ ต่อไปคิดไป แต่บางทีก็ดันเพลิน ถ้าต่อไม่เสร็จ ไม่อยากเลิก เลยไม่ได้เขียนกัน
๖๐.วิธีหาข้อมูลในการเขียนหนังสือบางทีก็มั่วมาก จะอ่านไปเรื่อย ๆ ก่อนเห็นว่าน่าสนใจแล้วจะ copy มาเก็บไว้ แล้วลืมไปเลยก็มี ตอนนี้เริ่มปรับปรุงขึ้นแล้ว
๖๑.เคยทำ today menu เอาไว้ แต่ก็แหกกฎมันเสียเรื่อย จึงไม่ได้ผลกับการวางแผนทำงานล่วงหน้าสักเท่าไร แล้วก็ดันให้เหตุผลตัวเองว่า เราเป็นคนมีความยืดหยุ่นสูง ^--^
๖๒.เป็นคนที่เขียนหนังสือได้ช้า แถมลืมเก่ง เปลี่ยนใจง่ายด้วย ยิ่งชื่อตัวละครด้วยแล้ว เฮ้อ !
๖๓.พยายามจะเขียนกลอน หรือ ไฮกุ ให้ได้วันละบท แต่ดันทำไม่ได้ทุกวัน
๖๔.ตั้งใจจะเขียนหนังสือให้ครบ 100 เล่ม ก่อนอายุ 60
เอ ... หรือ 70 ดีนะ ... 80 ล่ะ?
ส่วนตัว & ครอบครัว
๖๕.ชอบฟังเพลงสากล ถ้าเป็นเพลงบรรเลงก็จะฟังที่ UBC ( R3 DMX Beautiful Instrumentals)
๖๖.เพลงไทยชอบของ วงดิอิมพอสสิเบิ้ล สุนทราภรณ์ก็ฟัง
๖๗.เพลงไทยวัยรุ่นปัจจุบัน ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษ ฟังเอาไว้ตามให้ทันลูก ๆ เท่านั้น
๖๘.ชอบดูหนังคอมเมดี้ มากกว่าเรื่องผี หนังที่ไม่ชอบดูมากเลยคือ ประเภทหนังผีโหด ๆ สกปรก หรือพวกฆาตกรโรคจิต เพราะไม่ชอบความตื่นเต้นแบบนั้น ดูแล้ว เกร็ง จิตตก ไม่เกิดสมาธิและไม่สร้างความอิ่มเอิบในใจ แต่ Adam's Family ดูได้
๖๙.หนังประเภทสืบสวน ชอบการ์ตูนโคนัน CSI ดูบ้างเป็นบางครั้ง
๗๐.ขับรถไม่เป็น จึงไม่ชอบออกไปไหนหากสามีไม่ขับรถให้
๗๑.ร้องเพลงผิดคีย์บ่อย และซ้ำซากอยู่ประโยคหรือท่อนเดียว ก็พยายามจะฝึกจาก คาราโอเกะ ไม่รู้ว่าจะไปกันใหญ่หรือเปล่า ^--^
๗๒.เป็นคนไม่มีหัวทางการเล่นเครื่องดนตรีทุกชนิด คือเล่นไม่เป็นเอาเสียเลย แม้ว่าเครื่องดนตรีชนิดนั้นจะใช้มือก็เถอะ ^--^
๗๓.และวาดเขียนก็แย่ด้วย บางทีอยากขีดเส้นตรงยังไม่ตรงเลย ทั้ง ๆ ที่ใช้ไม้บรรทัด มันพาลจะเคลื่อนวาดเอานิ้วเราเข้าไปด้วยอยู่เรื่อย แถมยังออกเฉียง ๆ เสียอีก (สงสัยจะจับไม้บรรทัดไม่เป็น)
๗๔.กีฬา ยิ่งแล้วใหญ่ สมัยเรียนพลศึกษา คงไม่ผ่านแน่หากไม่มีคะแนนสุขศึกษาช่วย สอบเดาะลูกแบดมินตันครูให้โอกาสตกได้สามครั้งนับรวมกัน ก็ ... ทำได้สามที
๗๕.เวลาดูฟุตบอล ชอบเชียร์ทีมที่จะเตะประตูเข้า ไม่สนจะรู้ชื่อทีม เอาสีเสื้อเป็นหลักในการเชียร์ แต่ที่ชอบเชียร์จริง ๆ คือทีมอิตาลีใส่เสื้อสีไหนก็เชียร์ ^--^ เสียใจไปหลายวันตอนอิตาลีพลาดแชมป์โลก ฟรองซ์ 98 แต่ดีใจที่มาเอาชนะฝรั่งเศสและเป็นแชมป์ในปี 2006 นี้ ( ความจริงตอนดูเจ็ดนาทีแรก อิตาลีเสียประตูไปหนึ่ง เลยปิดทีวี มาเปิดดูอีกที อ้าว ! จะเตะลูกโทษ ปิดอีก เพราะหวาดเสียวไม่กล้าลุ้น ตื่นเช้ามาฟังข่าวเอา ค่อยยังชั่วอิตาลีชนะแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเชียร์แบบไหนนะเนี่ย
^--^ )
๗๖.ชอบฤดูฝนพอ ๆ กับฤดูอื่น ๆ
๗๗.ชอบสีโทนร้อนตอนเซ็งๆ มองแล้วจะได้มีชีวิตชีวาขึ้น ตอนสบายใจจะชอบโทนเย็น อย่างเขียว ฟ้า
๗๘.กลัวการนั่งเครื่องบินบนอากาศ อยู่กับพื้นไม่เป็นไร
๗๙.ชอบบันไดเลื่อนมากกว่าลิฟท์
๘๐.ไม่ดื่มอัลกอฮอล์ทุกชนิด หากได้เข้าในวงเหล้า จะเป็นคนกินกับแกล้มเก่งมาก จนบางครั้งถูกสะกิดให้ น้อยๆ หน่อย
๘๑.ยังไม่เคยไปเที่ยวเชียงใหม่ แต่ตั้งใจว่าจะไป
๘๒.ตอนท้อง แพ้กลิ่นแรงๆ โดยเฉพาะกลิ่นส้มตำ แต่โดยปกติชอบกินส้มตำ เชื่อว่า กินส้มตำที่อุดรธานีอร่อยที่สุด แหนมเนืองด้วย ^--^ + ^--^
๘๓.อาหารพื้นๆง่าย ๆ แบบข้าวผัด แกงจืด ไข่เจียว พอทำได้ แต่สั่งให้คนซื้อเข้ามาให้กินง่ายกว่า ดังนั้นจึงเป็นแม่บ้านที่ไม่ทำอาหาร
๘๔.และใครจะไปเยี่ยมเยือน มักจะถูกบอกให้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือเข้าไปให้กิน ^--^
หากคนคุ้นเคย เขาจะโทรไปถามเราว่า จะกินอะไรก่อนเสมอ น่ารักจริงๆ
๘๕.เป็นคนที่ไม่สามารถแยกระหว่าง เป๊ปซี่ และโค้ก ออกจากกันได้ จึงง่ายสำหรับคนที่หยิบเสริฟ เอาอะไรให้ก็ดื่ม แต่จะดื่มน้ำอัดลม เป็นบางอารมณ์เท่านั้น
๘๖.อาหารเช้าคือแซนวิสทูน่า กับกาแฟ ส่วนกลางวันและเย็นไม่แน่ บางทีไม่กินถ้าคิดขึ้นได้ว่า กลัวอ้วน
๘๗.ปลูกต้นไม้ไม่ค่อยจะรอด ชอบรดน้ำต้นไม้ตอนเช้า แต่ตอนเย็นมักจะลืม วันไหนขี้เกียจ ก็ภาวนาให้ฝนตกด้วยเถอะ
๘๘.ต้นไม้ที่ปลูกในบ้านชอบ มะม่วงน้ำดอกไม้ตอนที่แตกใบอ่อนแล้วมีดอกออกลูกเยอะๆ มะยมปลูกนอกบ้านผลดก แต่ไม่ชอบกินเอาไว้ให้เด็กๆ ตะโกนขอ ส่วนต้นขนุนข้างบ้านเขาปลูก มาแบ่งเรากินบ่อย
๘๙.ลั่นทมถ้าออกดอกจะถูกเด็ดลงมาลอยในกระถางน้ำพร้อมกับบานบุรี พุทธชาด และกล้วยไม้ ( กล้วยไม้ถ้าออกดอกไม่ทันจะซื้อเอา ก็ดอกสีม่วงที่เขาซื้อไปถวายพระนั่นแหละ) สำหรับจำปี รอมาสองปีแล้ว ไม่มีดอกเล้ย ! สูงเท่าเดิม เมตรกว่าๆ
๙๐. อ้อ! เกือบลืม ต้นบานบุรีที่บ้านมันชอบไปออกดอกเหลืองสะพรั่งที่ต้นมะยม ก็สวยดี แต่ถ้าแหยมมาต้นโมกข์เมื่อไหร่ โดน!
๙๑.ไม่เลี้ยงสัตว์ เพราะไม่อยากมีภาระ จึงคอยชื่นชมความน่ารักสัตว์เลี้ยงของคนอื่นแทน แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่อย่าง งูเหลือม น่ะ! ทำเป็นสัตว์เลี้ยงได้ยังไง กลัว!
๙๒.วันอาทิตย์ที่บ้านจะเป็นวันปลอดคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องเกมเพลย์ต่าง ๆ พยายามเสนอให้ปลอดทีวีด้วย แต่โดนต่อต้าน ลูกไม่ยอม
๙๓.เวลาดูทีวี ต้องเป็นคนถือรีโมท จึงจะพอใจ
๙๔.เวลาทำอะไร หรือคิดอะไร ไม่ได้ดังใจมักจะตะโกนว่า โธ่เอ๊ย! ชีวิต
๙๕.หรือไม่ก็ ... เวรเอ๊ย! (ไม่สุภาพนะ?)
๙๖.เรื่องที่มักจะบ่นให้ลูกก็คือ ความสะอาด ความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านช่อง
๙๗.งานบ้านที่ชอบและต้องทำคือ รีดผ้า ได้คิดอะไรดี ๆ ตอนนี้ (แต่อกาธา คริ้สตี้ บอกว่าตอนล้างจานแฮะ เราก็ดันยกหน้าที่นี้ให้ลูกไปซะแล้ว)
๙๘.ไม่ชอบรับโทรศัพท์ และสามารถทนเสียงโทรศัพท์ที่ดังจนเงียบไปเองได้อย่างสบายๆ
๙๙.อีเมลที่แทบจะไม่อ่านเลยคืออีเมลที่ขึ้นต้นด้วย FW:
๑๐๐.เป็นคนเขียนหนังสือมือซ้าย อยากจะหัดมือขวา แต่ก็ไม่รอด ...
๑๐๑. สุดท้าย ไม่ว่าอะไรจะขาด จะเกินในชีวิต ก็ตั้งใจไว้ว่าจะอยู่กับสิ่งที่มี อย่างมีความสุขที่สุดค่ะ ^--^
.
_______________
.
หมายเหตุ: ถ้าเกิดเป็นคนดังขึ้นมาเมื่อไหร่ จะเอาทั้งร้อยอย่างข้างต้นมาขยายความ
เป็นหนังสือคนดังเขียนไปเลย ^---^