ต่าง ๆ นานา
 
บทความ

 

การเมืองไทยในสายตาของผม

 

การบ้านการเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผมสนใจใคร่รู้ซักเท่าใดนัก
ก็คงเช่นเดียวกับคนไทยอีกค่อนประเทศที่มีสิทธ์มีเสียงในการเลือกตั้ง

แต่หากจะคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาบ้างก็เฉพาะช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่บรรดานักการเมืองพากันออกมากล่าวคำหวาน และให้คำมั่นสัญญาอันสวยหรูเอาไว้ มีสันดานหรือลักษณะนิสัยที่ไม่ดีอันติดตัวอยู่ตลอด ( ตามคำจำกัดความภาษาอังกฤษที่ว่า an inborn trait ,an innate character usually bad) หลายประการของนักการเมืองไทยที่ทำให้การเมืองของประเทศเรามิได้พัฒนาไปซักเท่าใดนักนับแต่ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยจนถึงปัจจุบัน อย่างแรกคือ การสร้างภาพ และตบตาประชาชน

สังเกตได้ง่ายๆจากรัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมา
ปัญหาเก่าๆในอดีตส่วนมากไม่ได้รับการดูแลแก้ไขแต่กลับจางหายไปกับกาลเวลา ปัญหาคนจน ปัญหาการทุจริต-คอรับชัน ปัญหาสิ่งแวดล้อม การก่อม็อบประท้วง เกษตรกรไม่พอใจราคาพืชพันธุ์ ยาเสพย์ติด และอีกมากมาย ยังคงอยู่คู่กับคนไทย
แม้ว่าออกแผนพัฒนาเศรษฐกิจกันมาหลายฉบับแล้วแต่คนจนกลับไม่ได้ลดลงไป สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษมากขึ้นผกผันกับภูมิปัญญาที่ตกต่ำลงของผู้นำประเทศ หนำซ้ำปัจจุบันยังมีปัญหาโจรกระจอก(ตามที่ท่านผู้นำของเราเคยบอกไว้) ซึ่งมีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นการแบ่งแยกดินแดนมาทำให้ปวดหัว

เหล่านี้เป็นผลพวงมาตั้งแต่รัฐบาลสมัยคุณตาคุณยายที่ไม่มีความจริงจังในการแก้ปัญหา ขอให้กูได้เป็นรัฐบาลไปจนครบสมัย กอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวให้มันเยอะเข้าไว้ ปัญหาของประชาชนแก้แบบขอไปทีก่อนก็ได้ เข้าทำนองผักชีโรยหน้า

รัฐบาลแทบทุกสมัยวัดผลกันที่ตัวเลข การเติบโตของ GDP , มูลค่าการส่งออกเป็นหลัก หากมันสูงขึ้นก็สรุปว่าเศรษฐกิจเราดีขึ้นเติบโตขึ้น อันเป็นข้อสรุปและตัวเลขที่เขาจะนำมาใช้หาเสียงได้ในสมัยต่อไป (เป็นผักชีโรยหน้าขนานแท้)

รัฐบาลของเราจริงจังครับแต่จริงจังในการสร้างภาพเพื่อตบตาประชาชนแทนที่จะจริงจังกับการแก้ปัญหา

ประเทศที่มีความจริงจังในการแก้ไขและปรับปรุงประเทศคือ จีนและญี่ปุ่น มีการออกแผนพัฒนาและโครงการต่างๆออกมามากมาย
เขาสามารถปฏิบัติตามและโครงการต่างๆก็ประสบผลสำเร็จ
ทำให้ประเทศพัฒนาและเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
จนทำให้ผู้นำไทยบางคนหลงนึกไปว่าเราจะทำเช่นนั้นได้บ้าง
เอาแผนและโครงการมาใช้กับประเทศของตนโดยหวังผลแบบเดียวกัน ผลที่ได้คือสังคมบูดๆเบี้ยวๆประชากรเกิดความแตกแยก
อันนี้เกิดจากพื้นฐานของสังคมและคุณภาพของประชากรที่แตกต่างกัน

ประเทศไทยเราประชากรอิงอาศัยอยู่กับเกษตรกรรมมาแต่ไหนแต่ไรแต่ท่านเอา อุตสาหกรรมลงมาแล้วกลับบอกว่ามันดีกว่า
อันนี้จะก่อให้เกิดความไม่เสถียรขึ้นในระบบ ความแตกแยกระหว่างกลุ่มที่ยอมรับกับไม่ยอมรับ ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา

ในอดีตการสร้างภาพของรัฐบาลอาจแค่เพียงจ้างจิตรกรมาวาดภาพให้ประชาชนดู แต่ในปัจจุบันเรากำลังถูกตบตาด้วยภาพที่ถูกสร้างด้วยคอมพิวเตอร์ ทุกอย่างถูกควบคุมด้วยกฎหมายที่ออกมาเพื่อรองรับ สื่อถูกคุกคามและควบคุม ประชาชนได้รับข้อมูลที่เบี่ยงเบนไปจากความจริง หรือได้รับข้อมูลจริงๆ แต่ไม่ครบถ้วน
โลกที่เหมือนกบในกะลาโปร่งใสหลอกว่าเราเป็นอิสระแต่แท้จริงกลับถูกจองจำเอาไว้ ไม่ต่างอะไรไปจากภาพยนตร์ The Matrix ที่มนุษย์ถูกเครื่องจักรลวงให้อยู่แต่ในโลกเสมือน จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีผู้ปลดปล่อย ( the one ) ปรากฏตัวออกมา ทว่ากลับมีบางคนที่พอใจขออยู่ในโลกเสมือนนี้ต่อไปดีกว่าที่จะมารับรู้เรื่องราวจริงๆ ( ตัวละครในภาคแรกผมจำชื่อไม่ได้)

ผมกลัวจริงๆกลัวว่าคนไทยจะกลายเป็นเหมือนตัวละครนั้น
เพราะคนเรากลัวที่จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด
และความจริงก็มักจะเป็นเรื่องราวที่เจ็บปวดเสมอ.................

 

บทความจากคุณจักรเพชร ศิริชุมแสง
๑๙ เมษายน ๒๕๔๘

 

 

 

 

 


๑๐๐ คำถามสร้างนักเขียน
นวนิยายคุณเขียนได้ด้วยตัวเอง

ดั่งไฟพิศวาส
นวนิยายรักเร้าอารมณ์