ตอบคำถามเพิ่ม คลิกที่นี่
 
  ฝากผลงานด้วยนะคะ  
 
 

ไหมแก้ว

16 ก.ค. 57
เวลา 5:55:22

พิมพ์
แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน
ดอกไม้สีหม่น


เสียงกระซิบแผ่วจากปากของแดเนียลทำเอาหัวใจฉันแทบละลาย เขาไม่พูดเปล่า หากคุกเข่าลงบนพื้นทรายที่เปียกปอน พร้อมกับสวมแหวนหยกสีขาวลงที่นิ้วนางข้างซ้าย ฉันมองแหวนนั้น สลับกับใบหน้าเรียวยาวของเขา ก่อนเอ่ยออกไปอย่างยากลำบากว่า “เอ่อ.... ตกลงค่ะ....”
“โอ้ว!!! ขอบคุณที่ไม่ปฏิเสธนะครับ.... ขอบคุณจริงๆ” แดเนียลยิ้มพอใจ เขากอดฉันไว้ภายใต้แสงระยิบระยับจากดวงดาวบนท้องฟ้า และเสียงอันไพเราะของคลื่นทะเลที่ร่วมกันเป็นพยานรักของเราในคืนนี้ “แทสเมเนียที่รัก”
แดเนียลเอ่ยพลางทอดสายตาไปยังท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไร้จุดหมาย สายลมยามค่ำคืนสัมผัสต้องผิวกายเราอย่างแผ่วเบา ดูเหมือนว่า สายลมนั้นจะล่วงรู้ถึงความต้องการของชายข้างตัวฉัน แดเนียลกระชับร่างของฉันแน่นขึ้น ก่อนจะทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเขา
“ฉันดีใจมากเลย ที่ได้ขอเอลินแต่งงานต่อหน้าเธอ ผู้หญิงคนนี้คือคู่ชีวิตของฉัน ขอเธอจงอวยพรให้เราสองคนครองรักกันตราบนานเท่านานด้วยเถิด...”พอแดเนียลพูดจบ ลมเย็นวูบใหญ่ก็พัดผ่านหน้าเราไป จากนั้น ทั่วทั้งเกาะแทสเมเนียก็ถูกความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง และอุณหภูมิในทะเลก็ลดต่ำลงเรื่อยๆ แต่ฉันกับแดเนียลยังคงอยู่ที่ริมหาด เราสวมกอดเพื่อถ่ายทอดความรักให้แก่กันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราในอพาร์ตเมนต์ของเราเอง...
ก่อนอื่น ฉันต้องขอบอกก่อนว่า แดเนียลไม่ใช่ผู้ชายคนแรกของฉัน แต่เขาจะเป็นคนสุดท้ายที่ฉันจะรักตลอดไป
สมัยที่ฉันฝึกงานอยู่ที่โรงเรียนประถมในเมืองโฮบาร์ต (ที่ทำงานของฉันในปัจจุบัน)
ผู้ชายหน้าหวานที่ชื่อ “จอนนี่” ได้ผ่านเข้ามาในชีวิต เขาขอคบกับฉันตั้งแต่วันแรกที่รู้จัก เขาบอกว่า เขาชื่นชมในความพยายามของฉัน และฉันเองก็เป็นพวก “บ้ายอ” อยู่แล้ว จึงตอบตกลง ยอมคบกับเขาอย่างง่ายดาย
จอนนี่ทำตัวเสมอต้นเสมอปลายกับฉันในตอนแรก แต่พอผ่านไปสักพัก เขาก็เปลี่ยนไป อะไรที่เคยว่าดีก็กลับกลายเป็นไม่ดีไปเสียหมด และเราก็เริ่มทะเลาะกันถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ความรักของฉันและเขา ก็จบลงด้วยการพูดคำว่า “goodbye......”
หลังจากที่จอนนี่หายไปจากชีวิต ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่งาน โดยไม่คิดมีใครอีก “ผู้ชายมันก็เหมือนกันทั้งโลก พอคบกันแรกๆ ก็มีรักให้เต็มร้อย แต่พอทำเราด่างพร้อย จากรักร้อยก็เหลือศูนย์”
นี่คือความคิดของฉันในตอนนั้น เพราะอดีตอันเจ็บแสบที่จอนนี่ฝากไว้ ทำให้ฉันหมดศรัทธากับคำว่า “ความรัก” แต่พอได้พบกับแดเนียล ฉันก็ต้องใจอ่อน ยอมแพ้ต่อความดีของเขาจนได้
แดเนียล เป็นครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนที่ฉันทำงานอยู่ อันที่จริง ห้องหมวดภาษาอังกฤษ กับห้องผลิตสื่ออักษรเบรลล์ อยู่ใกล้กันแค่ผนังกั้น และฉันกับหนุ่มชาวแทสเมเนียคนนี้ก็กลับบ้านพร้อมกันหลังเลิกงานทุกวัน
หากเราเพิ่งมาคุยกันจริงจัง ก็เมื่อวันที่ 20 มิถุนาปีที่แล้วนี่เอง

วันนั้น แดเนียลเข้ามาในห้องแนะแนว เพื่อขอรับเอกสารสำหรับสอนเด็กเรียนร่วมในวันรุ่งขึ้น หลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่ง แดเนียลก็เป็นฝ่ายถามขึ้นว่า
“เย็นมากแล้ว คุณเอลินยังไม่กลับบ้านอีกหรือครับ”
ฉันเงยหน้าขึ้นจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เห็นใบหน้าคมเข้มของผู้มาเยือนแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ แววตาที่เขามองฉัน เป็นแววตาที่อ่อนโยนและสุภาพ แตกต่างจากสายตากลุ้มกลิ่มของจอนนี่โดยสิ้นเชิง “ยังหรอกค่ะคุณแดเนียล พอดี ฉันยังพิมพ์ใบความรู้ให้เด็กไม่เสร็จเลย งานนี้เป็นงานด่วน ต้องส่งให้ทันวันพรุ่งนี้ค่ะ”
“เหรอครับ.... อืม! ถ้างั้นให้ผมช่วยพิมพ์ดีมั้ย คุณจะได้พักสายตาด้วย” “ก็ดีค่ะ” ฉันไม่ปฏิเสธน้ำใจเขา เพราะเวลานี้ สายตาที่มองเห็นอยู่น้อยนิดเริ่มอ่อนล้าจนใช้การต่อไปไม่ได้
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะคะแดเนียล ถ้าไม่ได้คุณช่วยพิมพ์ล่ะก็ เด็กนักเรียนฉันคงไม่ได้ส่งงานเป็นแน่” ฉันเอ่ยกับเขาขณะเราเดินออกมาจากห้องทำงานพร้อมกัน
“เอ่อ.... เรียกผมว่าแดนนี่เถอะนะครับ” เขาเอ่ยพลางส่งยิ้มละไมมาที่ฉัน “ ถ้าคุณเอลินมีอะไรให้ช่วยก็บอกผมได้ทุกเมื่อนะครับ ผมยินดีเสมอ”
“ขอบคุณอีกครั้งค่ะ แดนนี่”
เหตุการณ์ในวันนั้น เป็นชนวนให้ความสัมพันธ์ของฉันและเขาเก้าหน้าไปอย่างรวดเร็ว ความสนิทสนมเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ และเราก็ไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้น
หนึ่งปีผ่านไป กระทั่งวันที่ 20 มิถุนา เวียนมาบรรจบอีกครั้ง แดเนียลก็พาฉันไปรู้จักกับครอบครัวเขา และขอคบกับฉันต่อหน้าพ่อและน้องสาวในวันนั้นเอง

ข่าวการประกาศแต่งงานระหว่างฉันกับแดเนียล ถูกแพร่กระจายไปทั่วสถานศึกษา ทั้งเพื่อนร่วมอาชีพ และเด็กนักเรียนต่างมาแสดงความยินดีกันทั่วหน้า
ไมลี ครูสอนภาษาฝรั่งเศส เอาดอกไม้มาให้ในเช้าวันแรกของสัปดาห์ เธอมาถึงโรงเรียนตอนไหน ไม่มีใครรู้ แต่พอเห็นฉันนั่งพิมพ์งานอยู่ เพื่อนสาวก็เข้ามายืนข้างๆ ส่งกุหลาบสีขาวให้พร้อมเอ่ยเสียงใสว่า “ยินดีด้วยนะเอลิน.... ทีนี้ ฉันก็เรียกเธอว่าพี่สะใภ้ได้เต็มปากแล้วสิ”
“พูดอะไรอย่างงั้นเล่าไมลี....” ฉันยิ้มเขินขณะวางกุหลาบช่อเล็กลงบนโต๊ะทำงาน “อ้าว ก็มันจริงนี่นา.... ในเมื่อเธอกับพี่ชายฉัน อยู่กินด้วยกันมาตั้งหลายเดือน แถมพ่อฉันกับแม่เธอ ก็รับรู้แล้ว แบบนี้ ไม่แต่งมันก็เหมือนแต่งนั่นแหละ”
ถูกของไมลี จริงอยู่ที่ฉันกับแดเนียลอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงาน แม้จะรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่เราก็ทำไปแล้ว และกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก แต่พ่อแม่และญาติๆของพวกเรา ก็รับรู้มาโดยตลอด และพวกเขาก็ไม่ขัดข้อง ยอมให้เราคบกันอย่างเปิดเผย
อีกทั้งการประกาศแต่งงานของเรา พ่อทิมกับแม่ก้อยก็มีส่วนรู้เห็นด้วยเหมือนกัน “เออ เย็นนี้ ฉันกับแดนนี่จะจัดปาร์ตีฉลองงานแต่งล่วงหน้าน่ะ เลยอยากชวนเธอไปด้วยกัน เธอจะไปกับฉันมั้ย” “โอ๊ย! ไม่พลาดอยู่แล้ว.... เจ้าสาวของพี่ชายชวนทั้งที ถ้าฉันไม่ไปก็น่าเกลียดแย่ แต่เอ๊! ถ้าฉันจะชวนโจไปด้วย เธอคงไม่ว่านะ”
ไมลีหมายถึงลูกชายเจ้าของโรงกลั่นไวน์ที่เธอเพิ่งจะหมั้นกับเขาไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน “ได้สิ ฉันอนุญาต ดีเหมือนกัน ฉันกับแดนนี่จะได้ทำความรู้จักกับคู่หมั้นเธอด้วย ทีนี้ล่ะ จะได้รู้กันไป ว่าเขาน่ะ หล่อล่ำอย่างที่เธอคุยไว้หรือเปล่า”
ฉันพูดแบบทีเล่นทีจริง ไมลีหัวเราะคิกก่อนกล่าวทิ้งท้ายว่า “แหม! คนอย่างไมลีน่ะ ตาถึงอยู่แล้ว.... ถ้าโจไม่หล่อจริง ไมลีไม่ตกลงรับหมั้นหรอกย่ะ....”
ไมลีออกไปสอนหนังสือตั้งนานแล้ว แต่ฉันยังคงนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เพราะวันนี้ ฉันมีสอนแค่ชั่วโมงเดียว จึงใช้เวลาอยู่ที่ห้องผลิตสื่อเกือบทั้งวัน
แทนที่จะพิมพ์งานให้เด็กนักเรียนตาบอดเหมือนอย่างเคย ฉันกลับนั่งนิ่ง และคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทั้งๆที่ใจไม่อยากจะคิด....
“โจ” จู่ๆ ชื่อนี้ก็ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง ฉันพยายามสลัดมันออกไป แต่ก็ไม่เป็นผล จึงต้องปล่อยให้ใจดวงน้อย ท่องชื่อของเขาซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น
“โจ......จอนนี่......ลูกชายเจ้าของโรงกลั่นไวน์...... คุ้นๆนะ เฮ้ย! หรือว่า......”
คิดแล้ว ฉันก็หยิบรูปถ่ายที่ไมลีให้ไว้ออกมาดู แล้วก็ต้องตะลึงตาค้าง เพราะคนในรูปที่ยืนโอบไหล่เพื่อนฉันนั้น คือคนเดียวกับอดีตแฟนเก่าสมัยเป็นนักศึกษาฝึกงาน “ไม่นะ....ไม่จริง....” ฉันตะโกนสุดเสียง แต่ทว่า ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกจากปากเลย มีเพียงน้ำตาที่เริ่มไหลมาคลอหน่วยเท่านั้น
ฉันจ้องใบหน้าหวานๆบนแผ่นกระดาษในมืออีกครั้ง และคราวนี้ ภาพเหตุการณ์ในอดีตก็ย้อนมาให้จำ โดยที่ฉันไม่อาจสลัดมันออกไปจากใจได้เลย
คืนวาเลนไทน์ปี 2009 จอนนี่พาฉันไปทานอาหารเย็นที่ผับเล็กๆแห่งหนึ่ง ภายในผับตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสี ดีเจหน้าตาจิ้มลิ้มเปิดเพลงรักหวานซึ้งให้ฟังอย่างต่อเนื่อง บทเพลงเหล่านั้นช่วยสร้างบรรยากาศในการรับประทานอาหารได้อย่างไม่มีที่ติทีเดียว
“เอลินครับ ผมอยากบอกว่า คุณคือยอดดวงใจของผม ผมรักคุณนะ...... คืนนี้ เรามามีความสุขด้วยกันดีมั้ยครับ” คำว่า “ความสุข” ที่จอนนี่พูดถึงนั้น หมายความอย่างไร ฉันเข้าใจดี ด้วยความที่แม่ก้อยสอนให้ฉันรักนวนสงวนตัวมาตั้งแต่เด็ก บวกกับกลัวจะเสียศักดิ์ศรีผู้หญิงไทย ฉันจึงตอบปฏิเสธ
“ฉันยังไม่พร้อมค่ะโจ” “อะไรกัน.... นี่ผมขอคุณกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คุณก็บอกว่ายังไม่พร้อมอยู่เรื่อย ใจคอจะให้ผมรอไปจนแก่ตายหรือไง”
“ไม่รู้ล่ะ ผมไม่ทนรออีกต่อไปแล้ว ยังไงคืนนี้ คุณต้องเป็นของผมให้ได้” พูดแล้ว จอนนี่ก็โถมร่างเข้ากอดฉัน และแสดงกิริยาหยาบช้าอย่างบ้าคลั่ง ทำเอานักเที่ยวโต๊ะอื่นหันมามองเราเป็นตาเดียว
ฉันพยายามตั้งสติ ก่อนจะตบหน้าเขาฉาดใหญ่ พร้อมเอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “จำไว้นะ ถึงฉันจะเป็นหญิงไทยตาบอด แต่ฉันก็มีศักดิ์ศรี ฉันมาที่นี่เพื่อเรียนหนังสือ ไม่ได้มาให้ฝรั่งเลวๆอย่างนายย่ำยี ถ้านายอยากได้คู่นอนนัก ก็ไปหาเอาข้างหน้าแล้วกัน”
“ฮึ้ย! ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าทำกับกูแบบนี้” เขาคำรามเสียงเหี้ยม แล้วโปะผ้าเย็นลงที่จมูกฉันก่อนจะพาตัวออกจากผับไป
ประตูห้องทำงานถูกเลื่อนเปิดออก ปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์แห่งอดีตในทันที ฉันกวาดตาไปรอบๆห้อง เพื่อมองหาผู้มาเยือน พอเห็นว่าเป็นแดเนียล หัวใจฉันก็พองฟู ใบหน้าที่กำลังเศร้าอยู่ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม
“ทำอะไรอยู่จ๊ะ....ดาร์ลิ่ง....” เขาเอ่ยถามพลางเดินมายืนข้างๆ ด้วยความเขิน ฉันจึงหักปากกาในมือออกเป็นสองส่วน น้ำหมึกสีแดงเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าเต็มไปหมด
แดเนียลหัวเราะขำในการกระทำของฉัน เขาอดไม่ได้ที่จะแซวว่า “เอ้าๆ....! ดูเถอะ.... เขินผม แต่มาลงที่ปากกา....”
“นี่แน่ะ!” ฉันตีหลังเขาแบบไม่แรงนัก พลางเอ่ยว่า
“ไม่รู้ล่ะ เพราะคุณคนเดียว ทำให้ฉันต้องหักปากกา ดูซิ เปื้อนหมดเลย ทั้งเสื้อและกระโปรง เฮ่ออออ ดีนะ ที่รูปถ่ายนี้ไม่เปื้อนด้วย”
“รูปอะไร” แดเนียลชะโงกหน้ามามองแผ่นกระดาษในมือ เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า
“นี่มันรูปงานหมั้นของไมลีกับโจไม่ใช่เหรอครับ”
“ค่ะ.... ไมลีเพิ่งให้ฉันเมื่อเช้านี้” “แต่จะว่าไป เขาสองคนก็เหมาะสมกันดีนะคะ”
ฉันแกล้งพูดไปอย่างนั้น ทั้งที่ความจริง รู้สึกขยะแขยงฝ่ายชายเต็มที เมื่อมองดูหน้านายคนนี้ น้ำตาเจ้ากรรมก็พาลจะไหลเสียให้ได้ ฉันต้องพยายามอดกลั้นไว้อย่างหนัก เพื่อไม่ให้แดเนียลสงสัย
เขาจะรู้ความเป็นไปของฉันกับจอนนี่ไม่ได้เด็ดขาด.... อย่าว่าแต่แดเนียลเลย ขนาดไมลี ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท ฉันยังไม่คิดจะเล่าให้ฟัง เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันน่าอับอายเกินกว่าจะเปิดเผยออกมาได้
ฉันส่งรูปภาพนี้ให้กับมือแดเนียล แล้วบอกให้เขาช่วยเอามันไปให้ไกลตา หนุ่มออสซี่ทำหน้างง ถามว่า “ทำไมล่ะครับ ก็ในเมื่อไมลีให้คุณ คุณควรจะเก็บไว้นะ....”
“ฉันเก็บไว้ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะรูปใบนี้ มันทำให้ฉันนึกถึงแฟนเก่า”
“แฟนเก่า” แดเนียลทวนคำ ฉันกุมมือเขาไว้ แล้วอธิบายว่า “ฟังนะคะแดนนี่.... ก่อนหน้าที่จะเจอคุณ ฉันเคยมีแฟนมาก่อน ตอนที่คบกัน ฉันรักเขามาก แต่เขากลับทำให้ฉันเสียใจแบบสุดๆ”
“ช่างเถอะค่ะ.... อดีตเรื่องรักของฉันมันไม่สวยงาม ฉะนั้น ฉันขอไม่พูดดีกว่า” “แดนนี่ ฉันขอร้องล่ะ คุณช่วยเอารูปใบนี้ไปให้พ้นหน้าฉันที ฉันไม่อยากเห็นมันอีก”
“โอเค.... เฮ่อ! บอกตรงๆนะ ว่าผมกับพ่อไม่เห็นด้วยเลย ที่ไมลีหมั้นกับโจ” “พวกเขาเพิ่งคบกันได้สองเดือนเท่านั้น แต่ในเมื่อไมลีไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว เราก็ต้องปล่อยให้งานหมั้นนั้นเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก”

นาฬิการูปมะม่วงบอกเวลาสี่โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาเลิกงาน ฉันปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ คว้ากระเป๋าถือใบโต แล้วเดินออกจากห้องผลิตสื่อ ตรงไปที่รถเก๋งคันสีแดงที่จอดรออยู่หน้าตึก
“ไมลีกับคุณพ่อรออยู่ที่อพาร์ตเมนต์แล้วนะครับ เราต้องรีบไป เดี๋ยวพวกเขาจะรอนาน” แดเนียลบอกพลางเคลื่อนรถออกจากโรงเรียนอย่างช้าๆ
งานปาร์ตีเล็กๆจัดขึ้นที่ห้องพักหมายเลข 609 แขกที่มาร่วมงานส่วนใหญ่เป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทเพียงสองสามคน ตีมของงานเป็นตีม The pink love ดังนั้น บรรดาเพื่อนครูที่ได้รับเชิญจึงแต่งกายด้วยสีชมพูกันอย่างเต็มที่
กำแพงด้านหน้าห้องตกแต่งด้วยลูกโป่งหลากสี บนโต๊ะไม้ขนาดย่อมประดับด้วยแจกันดอกไม้และลูกกวาดรูปหัวใจ ฉันเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับแดเนียล ไมลีและลินดารีบมาดึงตัวฉันไปที่ระเบียงหลังห้อง ส่วนแดเนียลถูกเพื่อนชายอีกคนเรียกตัวไว้
เมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อน เราก็คุยกันถึงเรื่องต่างๆตามประษาผู้หญิง แต่คุยไปคุยมา ก็ต้องวกกลับมาที่เรื่องงานแต่งของฉันจนได้
คำถามที่เพื่อนๆถามเหมือนกันก็คือ จะแต่งเมื่อไหร่ แต่งที่ไหน ตีมงานเป็นอย่างไร โอ๊ย! ฉันล่ะปวดหัว ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี จึงตัดบทไปว่า “เรายังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยน่ะ เอาไว้ทุกอย่างลงตัวเมื่อไหร่ ฉันจะแจ้งผ่านสไกพ์อีกทีแล้วกัน”
“รีบหน่อยนะเธอ ฉันกับลินดารอเป็นเพื่อนเจ้าสาวอยู่”
“จ้า.... ถ้าหาสถานที่จัดงานได้เมื่อไหร่ ฉันจะพิมพ์การ์ดแจกเธอเป็นคนแรกเลย เออ! ว่าแต่ใครเป็นคนคิดตีมของงานล่ะ สวยถูกใจฉันจริงๆ”
“ฉันเอง” ไมลีตอบเสียงใส
“ตอนแรก ฉันก็นึกว่าจะจัดงานนี้ที่พัตตาคาร หรือไม่ก็โรงแรมในตัวเมือง แต่พอพี่แดนนี่บอกว่าจะจัดงานที่ห้อง 609 ฉันเลยอาศัยเวลาว่างช่วงบ่ายออกไปซื้อของมาตกแต่งอย่างที่เห็นนี่แหละ”
ไมลีบอกด้วยว่า แจกันใบใหม่เอี่ยมที่วางอยู่บนโต๊ะไม้นั้น โจ หรือชื่อจริงคือ “จอนนี่” เป็นคนเลือกซื้อด้วยตัวเอง
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนล่ะ” ลินดาถาม ไมลีตอบว่า “โจมีประชุมด่วนที่โรงไวน์น่ะ คงจะตามมาในไม่ช้านี้แหละ”
ต่อจากนั้น ไมลีก็สาธยายความหล่อเหลาของจอนนี่ให้เพื่อนในกลุ่มฟัง พร้อมพูดถึงความน่ารัก และโรแมนติกของเขาด้วย ลินดายิ้มให้ด้วยความชื่นชม ส่วนฉันทำเป็นหูทวนลม ไม่รับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนายคนนี้อีกต่อไป

อาหารเย็นถูกนำมาเสิร์ฟในเวลาต่อมา ส่วนใหญ่เป็นอาหารเบาๆอย่างไก่ทอด มันฝรั่งทอด และผักทอดชนิดต่างๆ บรรดาแขกเหรื่อทั้งเพื่อนฉันและเพื่อนแดเนียลต่างร่วมดื่มอวยพรให้ว่าที่คู่บ่าวสาวกันยกใหญ่
สำหรับตัวฉันเองไม่ดื่มแอลกอฮอล์อยู่แล้ว จึงทำได้เพียงจิบน้ำส้มผสมโค้กเท่านั้น
เวลาผ่านไปจนล่วงเข้าเที่ยงคืน ไฮไลต์ของงานจึงเริ่มขึ้น คุณพ่อทิมลุกขึ้นยืนต่อหน้าแขกเหรื่อ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า “วันนี้ พ่อรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รู้ว่า แดเนียล ลูกชายพ่อจะเข้าพิธีแต่งงานในเร็ววันนี้ เพราะฉะนั้น พ่อจึงจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อแสดงความยินดี และขอบคุณที่เขาเป็นลูกที่ดีของพ่อมาตลอด”
“และพ่อก็ขออวยพร ให้ว่าที่เจ้าบ่าว (แดเนียล) และว่าที่เจ้าสาว (เอลิน) จงมีแต่ความสุขความเจริญ ครองรักกันให้นานตราบชั่วฟ้าดินสลาย” “และที่สำคัญ มีหลานให้พ่ออุ้มเร็วๆล่ะ....”
เพื่อนๆทั้งสองฝ่ายส่งเสียงหัวเราะกับคำพูดสุดท้ายของพ่อทิม ส่วนฉันกับแดเนียลทำหน้าไม่ถูก ได้แต่มองตากันไปมาอยู่อย่างนั้น
เงียบกันไปครู่ พ่อทิมก็เรียกฉันกับแดเนียลออกมายืนท่ามกลางหมู่เพื่อนฝูง จากนั้น พ่อทิมก็มอบของขวัญกล่องใหญ่ให้เรา และโอบร่างเราทั้งสองด้วยมือคนละข้าง ฉันอดที่จะร้องไห้ไม่ได้ น้ำตาที่ไหลออกมาในตอนนี้ เป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจ ฉันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่า พ่อทิมจะใจดีและยอมรับในข้อบกพร่องของฉันได้
และก็ไม่เคยนึกเลย ว่าลูกชายคนเดียวของท่านจะเลือกคนตาบอดอย่างฉันมาเป็นคู่ชีวิต
พ่อทิมหมุนตัวฉันเป็นวงกลมอย่างแรง จนฉันแทบจะล้มลงไปกองอยู่กับพื้น แต่แดเนียลซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขาอ้าแขนรับฉันไว้ได้ทัน
จากนั้น ฉันก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา ท่ามกลางเสียงโห่ร้องจากเพื่อนๆที่นั่งล้อมวงกันอยู่
“โหยยยยย! ช่างเหมาะสมกันยังกะกิ่งทองใบหยก....” แฮร์รี่ เพื่อนสนิทของแดเนียลโพล่งขึ้นกลางวง
“จะกอดกันอย่างเดียวไม่ได้ ต้องจุ๊บด้วยถึงจะเร้าใจ” คำพูดของไมลี ทำเอาแดเนียลถึงกับนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ แต่เมื่อเจอเสียงเรียกร้องหนักเข้า เขาจึงยอมทำตาม โดยไม่สนใจสีหน้าแดงก่ำของฉัน
“กล้องพร้อม เตรียม หนึ่ง สอง สาม แชะ....””
ยังไม่ทันที่แดเนียลจะประทับริมฝีปากลงที่แก้มฉัน ประตูห้องพักก็ถูกเปิดผลัวะอย่างแรง ใครคนหนึ่ง ยืนจังก้าอยู่หน้าประตู มองฉันกับแดเนียลด้วยแววตามุ่งร้าย
ฉับพลัน เสียงที่ดังเซ็งแซ่อยู่ก็เงียบลง ทุกคนต่างลุ้นอย่างใจจดจ่อว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
“โจ นั่นคุณจะทำอะไร เข้ามานั่งข้างในสิ” ไมลีตะโกนเสียงหลง เธอผุดลุกขึ้น หมายจะเดินตรงไปหาคู่หมั้น แต่ยังไม่ทันถึงตัว พ่อทิมก็ดึงมือเธอไว้เสียก่อน
“สวัสดี แขกผู้มีเกียรติทุกคน” ผู้มาใหม่เอ่ย น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาทำให้ฉันชะงัก ขณะที่พ่อทิมและคนอื่นๆหันมองเขาอย่างตะลึงงัน
“หวังว่า ผมคงไม่มาช้าจนเกินไปนะ วันนี้ ผมแค่อยากจะมาแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวด้วยเช่นกัน”
“แต่ในความยินดีนั้น ดูเหมือนจะมีบางอย่างแอบแฝงเสียด้วยสิ”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบใดๆจากกลุ่มคนในห้อง พ่อทิมเดินไปเผชิญหน้ากับหนุ่มคนนั้น แล้วเอ่ยเสียงเฉียบขาดว่า “ผมขอให้คุณออกไปจากห้องลูกชายผมเดี๋ยวนี้ ไม่งั้น ผมจะโทรเรียกรปพ.มาลากตัวคุณ”
“ผมออกไปแน่ ไม่ต้องห่วง แต่ก่อนที่ผมจะไป ผมขอมอบของขวัญชิ้นนี้ให้กับแดนนี่ เพื่อนสมัยมัธยมที่ผมแสนรักสุดหัวใจ....”
จอนนี่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขากดส่งข้อความถึงแดเนียลภายในเวลาครึ่งวินาที “เสร็จแล้ว.... ของขวัญชิ้นนี้จะเป็นเครื่องวัดใจ ว่านายจะยังรักนังเอลินอยู่หรือไม่ เมื่อได้เห็นคลิปนี้......”
“แต่ฉันขอบอกไว้เลยนะ ว่าคลิปที่ส่งให้ มันเร้าใจมากเลยล่ะ ฮะฮ่า! ขอให้โชคดีแล้วกัน”
จากนั้น จอนนี่ก็พาตัวไมลีออกจากห้องไป ปล่อยให้พ่อทิมและเพื่อนๆนั่งมองตาค้างอยู่อย่างนั้น
แขกเหรื่อทุกคนทยอยกลับกันตอนตีหนึ่ง พ่อทิมจึงขอตัวกลับไปที่ห้องของท่าน ก่อนไป ท่านมองเราด้วยแววตาอาทร แล้วพูดเสียงเบาว่า “ใจเย็นๆนะลูก.... มีอะไรค่อยๆพูดกัน อย่าวู่วาม....”
เมื่ออยู่กันตามลำพัง แดเนียลก็นิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรกับฉันแม้แต่คำเดียว บรรยากาศที่รื่นเริงเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นตึงเครียดโดยสิ้นเชิง
“คุณพอจะอธิบายให้ผมฟังได้มั้ย ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คุณกับนายโจไปเกี่ยวข้องกันได้ยังไง แล้วสิ่งที่อยู่ในคลิปนี่...มันไม่จริงใช่มั้ย...””
แดเนียลถามออกมาในที่สุด เขาเปิดคลิปในโทรศัพท์ให้ฉันดู ทั้งภาพและเสียงที่ปรากฏมันทำให้ฉันตัวชา ขณะเดียวกัน ฉันก็นึกโกรธจอนนี่มาก อยากจะไปตบหน้าเขาให้สาใจนัก
“แดนนี่” ฉันเรียกชื่อเขาด้วยเสียงสั่นเครือ พยายามหาคำอธิบาย แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เวลานี้ ฉันจนมุมด้วยหลักฐาน คลิปในโทรศัพท์ทำให้ฉันไม่อาจหาคำแก้ตัวใดๆมาหักล้างได้เลย
สิ่งเดียวที่พอจะทำได้ในตอนนี้ คือบอกความจริงทุกอย่างให้แดเนียลรู้ แม้ว่าผลสุดท้าย จะจบด้วยการบอกลา ฉันก็ต้องยอมรับ
“แดนนี่.... ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น เพียงแต่คลิปนั่น.... มัน....”
พูดได้เท่านั้น น้ำเสียงของฉันก็หายไปในลำคอ และหยดน้ำตาที่ทน-อดกลั้นไว้มานานก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ฉันสะอื้นไห้อยู่นานกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ
“คลิปนั่น มันเป็นของฉันกับโจจริงค่ะ แต่ฉันไม่รู้เรื่อง ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง”
ฉันค่อยๆนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อน เมื่อปะติดปะต่อเรื่องได้ ฉันก็เล่าให้แดเนียลฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
“ผ้าเย็นผืนนั้น จะต้องมียาสลบอยู่แน่ๆ เพราะหลังจากที่ผ้าเย็นสัมผัสที่ปลายจมูก ฉันก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย รู้แต่ว่า พอตื่นมาอีกทีฉันก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า และโจก็หายไป
เล่าถึงตอนนี้ น้ำตาเจ้ากรรมก็ยิ่งไหลออกมามากขึ้น ฉันไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าแดเนียล ความอับอายมันครอบงำจนฉันไม่อาจทนสู้หน้าเขาต่อไปได้
เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย ฉันจึงถอดแหวนหยกที่สวมอยู่ออก แล้วส่งคืนให้เขาพลางเอ่ยทั้งน้ำตาว่า
“หยกสีขาว เปรียบดั่งผู้หญิงที่บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ แต่มันคงไม่เหมาะกับฉัน เพราะฉันไม่ใช่สาวบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว” “ฉันเคยผ่านมือผู้ชายมาก่อนหน้าคุณ ฉะนั้น แหวนวงนี้ก็ไม่คู่ควรกับฉัน...... รวมทั้งตัวคุณด้วย......”
“กลับไปเสียเถอะค่ะแดนนี่ อย่ามายุ่งกับฉันอีกเลย ฉันมันเป็นแค่ดอกไม้แห้งๆ ที่ถูกทำลายจนป่นปี้ ไม่สมควรที่จะเป็นเจ้าสาวของคุณ”
“เอลิน......”
น้ำเสียงเนิบช้าของชายหนุ่มข้างตัวทำให้น้ำตาฉันพรั่งพรูออกมาดั่งทำนบพัง ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในใจไม่ยั้ง
“คุณไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วค่ะ... ในเมื่อคุณรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว ถ้าไม่อยากลำบากใจก็ออกไปจากห้องนี้ แล้วทิ้งฉันไว้คนเดียวเถอะ ฉันมันไม่มีค่าพอสำหรับคุณหรอกค่ะ”
“ไม่ เอลิน... ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมจะปล่อยให้คุณเผชิญกับเรื่องร้ายๆคนเดียวได้ยังไง...”
ว่าจบ แดเนียลก็ประคองร่างอันไร้เรี่ยวแรงของฉันไว้ ฉันซบหน้าลงที่ไหล่ของเขา ปล่อยน้ำตาให้ไหลพรั่งพรูออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ
 


  คำตอบที่ 1  
 

philipda

21 ก.ค. 57
เวลา 13:52:26
คุณไหมแก้ว

ตอนนี้ที่กระดานเรามีเปิดเขียนนวนิยายแข่งกับตัวเองและเวลา
ประมาณ 40 วัน สนใจเข้าร่วมไหมคะ

ดูที่กระดานสนทนาได้ค่ะ ไปลงชื่อได้เลย www.forwriter.com/mysite/forwriter.com/webboard/question.asp?QID=854

ถ้าลงชื่อแล้ว เอางานไปโพสที่กระดานแรลลีค่ะ
จะสามารถจัดหน้าตัวหนังสือให้อ่านได้สะดวกกว่ากระดานนี้ค่ะ
www.philipda.com/index.php

^--^
 




  เชิญกรอกข้อความเพื่อตั้งคำถาม  
  กรุณา login เพื่อตอบคำถาม