ตอบคำถามเพิ่ม คลิกที่นี่
 
  ช่วยอ่านและวิจารณ์กันนะหน่อยครับ นวนิยายเรื่องแรกของผม  
 
 

ภาคิน เครือชาลี

12 ก.ย. 56
เวลา 3:11:11

พิมพ์
แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน
บทที่ 1 วันครีษมายัน
เช้าตรู่วันนี้เป็นเช้าวันจันทร์ ตรงกับวันที่ 9 ของเดือนเมษายน ด้วยอากาศที่เย็นสบาย จนใครก็ตามที่นอนหลับอยู่ก็ยังไม่ค่อยอยากจะลุกขึ้นมาสักเท่าไหร่ เพราะอุณหภูมิที่ไม่ถือว่าสูงหรือต่ำจนเกินไป วันนี้ก็เป็นเหมือนทุกวันในช่วงเดือนเมษายนนี้ ซึ่งมักจะมีอากาศที่พอเหมาะในช่วงกลางคืนจนถึงเช้าตรู่ และจะไปร้อนมากขึ้นสุดๆในเวลากลางวัน
สองสามีภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ ภายในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองจังหวัดจันทบุรี อพาร์ตเมนต์แห่งนี้มีสามชั้นในแต่ละชั้นเต็มไปด้วยห้องเช่าเล็ก ๆ ประมาณสิบกว่าห้อง ซึ่งในเวลานี้ไม่มีห้องว่างแม้แต่ห้องเดียว
สามีภรรยาคู่นี้มีฐานะไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ เพราะไม่งั้นก็คงจะไม่มาอาศัยอยู่ในห้องเช่าที่มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบปีนี้หรอก ผู้เป็นสามีซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว ต้องทำงานแบบหาเช้ากินค่ำแทบทุกวัน ส่วนภรรยาก็ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านและต้องยังคอยช่วยงานของสามี ทั้งสองไม่ใช่ชาวจังหวัดจันทบุรีโดยกำเนิด ทั้งสองเกิดที่จังหวัดที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย แต่ได้ย้ายเข้ามาทำงานที่จังหวัดจันทบุรีในช่วงที่เริ่มเป็นวัยรุ่น
ครอบครัวนี้กำลังจะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมา เพราะตอนนี้ผู้เป็นภรรยาได้ตั้งครรภ์และกำลังจะใกล้คลอดเต็มทีแล้ว เช้าวันนี้เธอได้ตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่มาก ๆ ตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สว่างด้วยซ้ำ สาเหตุที่ทำให้เธอตื่นขึ้นมานั้นก็คือ อาการปวดท้องที่เธอมักจะปวดอยู่เป็นประจำในตอนเช้าในช่วงหลายวันที่ผ่านมา และแน่นอนในเวลานี้ประชาชนโดยส่วนใหญ่ในอำเภอเมืองจังหวัดจันทบุรีกำลังอยู่ในภาวะที่เรียกได้ว่าหลับสนิท พวกเขาไม่รู้เลยสักนิดว่า ในวันนี้ที่เรื่องของเราเริ่มต้นขึ้นนี้ กำลังจะมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้น
นาฬิกาที่แขวนอยู่ที่ผนังบอกให้รู้ว่าขณะนี้เป็นเวลาห้านาฬิกาสามสิบนาที หญิงสาวตั้งครรภ์คนนี้ เธอชื่อ ‘สุวีรา’ เธอเป็นหญิงสาววัยยี่สิบห้าปี การตั้งครรภ์ในครั้งนี้เป็นการตั้งครรภ์ครั้งแรกของเธอ อาการปวดท้องที่เธอมักจะปวดอยู่บ่อย ๆ ในช่วงหลายวันมานี้ ได้มีอาการปวดขึ้นมาอีกแล้ว และดูเหมือนจะปวดมากขึ้นกว่าครั้งก่อน ๆ ด้วย ในเมื่อทนไม่ไหว เธอจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นอน เพื่อที่จะไปเข้าห้องน้ำ เพราะเธอคิดว่าตัวเองนั้นปวดปัสสาวะ ขณะที่กำลังเดินไปเข้าห้องน้ำเธอได้ไปเห็นโทรทัศน์ซึ่งเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เมื่อมองไปที่บริเวณหน้าโทรทัศน์ เธอก็เห็นสามีของเธอนอนหลับอยู่ตรงนั้น สามีของเธอซึ่งมักจะนอนดูโทรทัศน์จนดึก และก็จะหลับโดยที่ไม่ปิดโทรทัศน์ เมื่อเธอเห็นสามีที่กำลังนอนหลับและโทรทัศน์ที่เปิดหน้าจอทิ้งไว้ เธอจึงส่ายหัวอย่างเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมของสามีของเธอ ก่อนที่จะเดินไปหยิบรีโมทเพื่อปิดหน้าจอโทรทัศน์
และในขณะนั้นที่จอโทรทัศน์ กำลังมีรายการแนะนำสินค้า เกี่ยวกับ ‘คู่มือสำหรับว่าที่คุณแม่มือใหม่’ สุวีรากำลังจะกดปุ่มปิดหน้าจอโทรทัศน์อยู่แล้วเชียว แต่แล้วก็ลดมือลง และยืนดูที่หน้าจอโทรทัศน์
“หากคุณกำลังจะเป็นคุณแม่มือใหม่” ผู้หญิงในรายการกล่าว “คุณควรต้องมีหนังสือเล่มนี้” ผู้หญิงในรายการชูหนังสือเล่มสีชมพูที่หน้าปกมีรูปภาพผู้หญิงกำลังอุ้มเด็กทารกอยู่ในอ้อมแขน
“หนังสือเล่มนี้จะบอกเคล็ดลับและทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการเป็นคุณแม่มือใหม่อย่างครบถ้วน ซึ่งจะทำให้คุณหมดข้อสงสัยในการเป็นคุณแม่ ไม่ว่าคุณจะมีลูกชายหรือลูกสาว หนังสือเล่มนี้ จะบอกให้คุณรู้ถึงวิธีการปฏิบัติ -- ”
สุวีราไม่สนใจที่จะดูโทรทัศน์อีกต่อไปแล้ว เธอรีบวางรีโมททันที อาการปวดท้องของเธอในตอนนี้ได้ทวีความเจ็บปวดมากขึ้น จนเธอไม่สามารถที่จะยืนได้ ลูกของเธอกำลังจะคลอดออกมาในอีกไม่ช้านี้ เธอรีบปลุกสามีที่กำลังหลับ และอีกสิบห้านาทีหลังจากนั้น เธอก็นอนอยู่ในห้องที่ใช้สำหรับทำคลอดของโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
แล้วเวลาก็ผ่านไปจนในขณะนี้เวลาแปดนาฬิกาสามสิบนาที ที่บริเวณประตูทางเข้าของโรงพยาบาลที่สุวีรามาคลอดลูก มีชายสองคนกำลังยืนคุยกัน ทั้งสองอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำยาวถึงเข่าและมีผ้าคลุมศีรษะไว้ ทำให้เป็นที่สดุดตาต่อผู้พบเห็นในบริเวณนั้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากช่วงนี้ในเวลากลางวันจะมีอากาศที่ร้อนมากจนถึงกับขนาดที่อยากจะถอดเสื้อและไปอาบน้ำ แต่ทั้งสองแต่งตัวอย่างกับอยู่ในอากาศที่หนาวจัด
“แกแน่ใจนะว่าเป็นที่นี่” ชายตัวสูงในชุดคลุมพูดกับชายในชุดคลุมที่ตัวเตี้ยกว่า
“แน่ใจซิครับเจ้านาย ที่คนทรงพูดมา บอกไว้อย่างชัดเจน” ชายตัวเตี้ยในชุดคลุมบอก
“ข้ารู้ว่าคนทรงพูดไว้ยังไง เพราะข้าก็ไปฟังอยู่เหมือนกัน เจ้าทึ่ม” ” ชายตัวสูงในชุดคลุมว่า “ข้าหมายถึงว่าทำไมแกถึงคิดว่าเป็นที่นี่”
“ก็จากที่คนทรงพูดออกมาไงล่ะครับ” ชายตัวเตี้ยในชุดคลุมพูดจาเลียนแบบคนทรง “คนที่จะเปลี่ยนโลกจะเกิดในสถานที่ที่เป็นชื่อของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี อยู่ทางทิศบูรพา ถ้าไม่ใช่ที่นี่แล้วจะเป็นที่ไหนล่ะครับ เจ้านาย”
“แต่สถานที่ที่เป็นชื่อของพระมหากษัตริย์ นั้นมีอยู่มากมายเลยไม่ใช่เหรอ” ชายตัวสูงในชุดคลุมถาม
“มันก็ใช่ครับ” ชายตัวเตี้ยในชุดคลุมมองเข้าไปในโรงพยาบาล “แต่บางสิ่งบางอย่างมันบอกผม ว่าต้องเป็นที่นี่แน่”
“แล้วไอ้บางสิ่งบางอย่างของแก มันคืออะไร” ชายตัวสูงในชุดคลุมถาม
“เซ๊นไงล่ะครับ” ชายตัวเตี้ยในชุดคลุมตอบ “เซ๊นของผมมันบอก”
“เซ๊นอีกแล้วเหรอ” ชายตัวสูงในชุดคลุมโมโห “พวกเราเคยเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็เพราะเซ๊นของแก แกจำได้ไหม”
“จะ จะ จะจำได้ครับ เจ้านาย” ชายตัวเตี้ยในชุดคลุมพูดตะกุกตะกัก
ทันใดนั้นเองอะไรบางอย่างที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของชายคนที่ตัวสูงก็สั่นขึ้นมา ชายคนตัวเตี้ยก็รู้ถึงอาการสั่นนั้นด้วย เขามองลงไปที่กางเกงของชายที่ตัวสูง ในขณะที่ชายตัวสูงใช้มือล้วงเอาของสิ่งนั้นเอามา มันเป็นนาฬิกาข้อมือที่ไม่มีสายรัด ขนาดของมันเท่ากำปั้น ซึ่งใหญ่กว่านาฬิกาข้อมือทั่วไปมาก เขาดูเวลาที่นาฬิกาก่อนที่จะพูดว่า
“ให้ตายนี่ฉันผิดนัดมาห้านาทีแล้วหรือเนี้ยะ ถ้าแกมั่นใจอย่างนั้น ก็ไปจัดการให้เรียบร้อย แต่ถ้าพลาดละก็ งานนี้แหละจะเป็นงานสุดท้ายที่แกได้ทำ”
แล้วชายคนตัวสูงก็เดินจากไป ปล่อยให้ชายคนตัวเตี้ยยืนตัวสั่นและนิ่งสนิท
แล้วในตอนนี้ก็เป็นเวลาเก้านาฬิกาสามสิบนาที ลูกของสุวีราได้คลอดออกมาเรียบร้อยแล้ว ทั้งเธอและลูกปลอดภัยดี นางพยาบาลคนทำคลอดซึ่งอยู่ในชุดสีเขียวทั้งชุด เดินออกมาจากประตูห้องคลอดเพื่อบอกข่าวดีกับสามีสุวีรา
“คุณเป็นสามีคุณสุวีรา ใช่ไหมค่ะ” นางพยาบาลถามชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ใช่ครับ” สามีสุวีราตอบ
“ยินดีด้วยนะค่ะ คุณได้ลูกชาย” นางพยาบาลบอก “ทั้งแม่และเด็ก ปลอดภัยดี น้ำหนักของเด็กสองกิโลกรรมกับอีกหนึ่งขีดค่ะ แล้วอีกหนึ่งชั่วโมงคุณก็เข้าไปเยี่ยมภรรยาคุณได้นะค่ะ”
แล้วก็นางพยาบาลก็บอกรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่สามีสุวีราต้องไปทำในเรื่องการแจ้งเกิดซึ่งต้องไปทำที่ที่ว่าการอำเภอ
สามีสุวีราขี่รถจักยานยนต์ไปที่ที่ว่าการอำเภอ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับแจ้งเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับทะเบียนราษฎร์ ในขณะที่เขาขี่รถจักยานยนต์เขามีความรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาหวังที่จะได้ลูกชายตั้งแต่ในขณะที่ภรรยาของเขาตั้งท้อง แล้ว เมื่อเขาไปถึงที่ว่าการอำเภอเพื่อแจ้งการเกิดของลูกตามที่นางพยาบาลบอก เขาลงชื่อและนามสกุลตนเองลงในเอกสาร ’พลพยัคฆ์ พุทธรักษา’ และก็ชื่อภรรยา ’สุวีรา บุญประเสริฐ’ ที่นามสกุลไม่เหมือนกันก็เพราะว่าทั้งสองยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส และก็ชื่อลูกชายของเขา ’พชรพล พุทธรักษา’ ชื่อนี้เขาตั้งไว้ตั้งแต่ลูกของเขายังอยู่ในท้องภรรยา เผื่อว่าถ้าเขาได้ลูกชาย
• • •
ชายร่างเตี้ยในชุดคลุมตัวยาวสีดำและมีผ้าคลุมศีรษะ กำลังเดินอยู่ภายในเขตโรงพยาบาล ซึ่งดูเหมือนว่าเขากำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่ ในบริเวณที่เขากำลังเดินอยู่เป็นบริเวณรอบนอกของโรงพยาบาล
“จะรู้ได้ไงนะว่า เขาเอาเด็กแรกเกิดไปไว้ที่ไหน” ชายร่างเตี้ยในชุดคลุมคิดในใจ พลางมองดูอาคารต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายของโรงพยาบาลแห่งนี้
“ขืนยังอยู่ตรงนี้ มีหวังไม่มีทางได้เจอแน่” ” ชายร่างเตี้ยในชุดคลุมคิด จากนั้นภายในพริบตา ชุดคลุมตัวยาวสีดำที่มีผ้าคลุมศีรษะ ก็หายไป เผยให้เห็นชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาว และสวมรองเท้าหนัง เขามีรูปร่างสมส่วน ผิวสีแทน เขามีขอบตาที่คล้ำมากราวกับว่าไม่ได้นอนมาเป็นเดือน ๆ
“เฮ้อ…อากาศ ร้อนซะมัดเลย” ชายร่างเตี้ยคิดและมองดูชุดที่สวมใส่ “แบบนี้ค่อยดูกลมกลืนกับคนอื่นเขาหน่อย”
ชายร่างเตี้ยเดินไปที่ตึกที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อที่จะเข้าไปตามหาเด็กแรกเกิด เมื่อเดินไปถึงชายร่างเตี้ยก็เดินเข้าไปในตึกทันที โดยที่ไม่ทันได้มองเห็นป้ายสีขาวที่มีตัวหนังสือสีดำอ่านว่า ‘จิตเวช’ ซึ่งอยู่ทางด้านขวาของตึก เมื่อเขาเดินไปถึงชั้นล่างของตึก เขาก็เห็นป้ายกระดาษสีขาวขนาดใหญ่วางไว้บนเคาน์เตอร์ และมีตัวหนังสือเขียนว่า
‘มาเยี่ยมผู้ป่วยกรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อนนะค่ะ’
ชายร่างเตี้ยไม่ได้มาเยี่ยมใคร แต่เขามาตามหาคน “ถ้าเดินขึ้นไปตามหา โดยที่เขาเห็นเราไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ เขาต้องไม่ให้เราขึ้นไปแน่” ชายร่างเตี้ยคิด จากนั้นเขาก็กลับหลังหันและเดินออกมาจากตึกนั้นทันที
ชายร่างเตี้ยออกมายืนตั้งหลักอยู่ด้านนอกของตึก “ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องเข้าไปโดยที่ไม่ให้ใครเห็น” ชายร่างเตี้ยคิด จากนั้นเขาก็เอาไม้แท่งหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงที่อยู่ข้างหลัง มันเป็นไม้ขนาดเท่าไม้ตะเกียบ สีดำ ยาวประมาณยี่สิบห้าเซนติเมตร
ชายร่างเตี้ยโบกไม้ผ่านใบหน้าตัวเองหนึ่งครั้ง เกิดเป็นประกายระยิบระยับเหมือนกากเพชรที่บริเวณในหน้าของเขา จากนั้นร่างของเขาก็ค่อยๆ จางลง ๆ และก็จางหายไป แต่ก็เหลือเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวและรองเท้าหนังที่ยังมองเห็นอยู่ ทำให้มองดูเหมือนว่าเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวและรองเท้าหนังนั้นลอยได้
“ฉันล่ะเบื่อมนต์นี้จริง ๆ” ชายร่างเตี้ยพูดกับตัวเอง แล้วเขาก็ถอดเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว กางเกงใน และรองเท้าหนังออก จากนั้นก็เอาของทั้งหมดไปวางกองไว้ใต้ต้นไม้ โดยที่เอาถุงพลาสติกสีดำสำหรับใส่ขยะซึ่งวางอยู่ข้างตึกทับเอาไว้
ชายร่างเตี้ยเดินเข้าไปในตึกอีกครั้งโดยที่ไม่ได้สวมใส่อะไรเลยและร่างของเขานั้นผู้อื่นไม่สามารถจะเห็นได้แม้แต่เงา เมื่อเขาตรวจดูจนแน่ใจว่าชั้นแรกไม่มีห้องไหนที่ใช้สำหรับเป็นห้องของเด็กแรกเกิด เขาจึงเดินขึ้นบันไดไปชั้นที่สอง เมื่อเขาเดินไปถึงภาพที่เขาได้เห็นก็คือ ผู้ชาย ผู้หญิง เด็กและคนชรา ที่อยู่ในชุดคนไข้ของโรงพยาบาล กำลังเดินไปเดินมาอยู่เต็มไปหมด และผู้ป่วยบางคนก็นั่งกับพื้นและพูดอยู่คนเดียว ผู้ป่วยบางคนก็กำลังเดินและพูดคนเดียว ผู้ป่วยบางคนก็นั่งเหม่อลอย และผู้ป่วยบางคนก็หัวเราะคนเดียว โดยมีนางพยาบาลประมาณสิบคนกำลังคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ชายร่างเตี้ยเห็นว่าชั้นนี้ไม่น่าจะมีห้องสำหรับเด็กแรกเกิด เขาจึงเดินขึ้นไปชั้นต่อไป ในชั้นนี้เขาเห็นผู้ป่วยในชุดคนไข้ของโรงพยาบาลประมาณสิบคน กำลังนั่งอยู่ที่พื้นล้อมวงกันทำพวงกุญแจงานประดิษฐ์ โดยมีนางพยาบาลสี่คนคอยสอนอยู่ และที่บริเวณหน้าต่างที่เป็นกระจกซึ่งถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา ก็มีคนไข้บางคนไปยืนติดกระจกแล้วก็โบกมือให้คนข้างล่าง ชายร่างเตี้ยเห็นว่าชั้นสามนี้ไม่น่าจะมีห้องสำหรับเด็กแรกเกิด เขาจึงเดินขึ้นไปชั้นที่สี่ ในชั้นนี้มีนางพยาบาลอยู่ 2-3 คน มีเตียงนอนคนไข้อยู่สี่เตียงแต่ไม่มีคนนอน และก็มีห้องที่มีประตูเป็นลูกกรงอยู่สามห้อง ภายในห้องจะมีเตียงนอนอยู่หนึ่งเตียง มีชักโครกให้ด้วย ดูเหมือนกับห้องขังผู้ต้องหาที่อยู่ในโรงพักแต่ดีกว่ามาก ทั้งสามห้องมีคนไข้อยู่ภายในห้องละหนึ่งคน
“นี่เราคงมาผิดตึกแน่” ชายร่างเตี้ยคิดในใจ พลางมองดูผู้ป่วยทางจิตทั้งสามคนที่อยู่ในห้องที่มีประตูลูกกรง พวกนี้มีการแสดงออกทางสีหน้าที่บ่งบอกให้รู้ว่า ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าไปคุยด้วย
เมื่อเห็นว่าตนเองขึ้นมาผิดตึก ชายร่างเตี้ยจึงรีบเดินลงไปจากตึกทันที เมื่อเขาเดินออกมาภายนอกของตึก สิ่งที่เขาเห็นก็คือ ผู้ป่วยทางจิตประมาณยี่สิบคนกำลังยืนเต้นท่ากายบริหาร และนักศึกษาพยาบาลที่อยู่ในชุดพละห้าคน เป็นผู้นำการเต้น อยู่ที่ข้างตึกทางด้านขวา ซึ่งตรงนั้นมีป้ายสีขาวที่มีตัวหนังสือสีดำที่อ่านว่า ‘จิตเวช’ ตั้งอยู่
“โธ่… ทำไมเราไม่เห็นป้ายนี้ตั้งแต่แรกนะ จะได้ไม่เสียเวลาขึ้นไป” ชายร่างเตี้ยบอกกับตัวเอง จากนั้นเขาก็เดินไปที่ต้นไม้ที่อยู่ข้างตึกอีกด้านหนึ่ง เพื่อที่จะไปเอาเสื้อผ้าของเขา ที่เขาได้วางกองไว้ใต้ต้นไม้ แต่เมื่อเขาเดินไปถึง เขาพบว่าที่ใต้ต้นไม้ไม่มีเสื้อผ้าของเขาวางอยู่แล้ว แล้วถุงพลาสติกสีดำที่เขาวางทับเสื้อผ้าไว้ก็หายไปด้วย ดูเหมือนว่าจะมีใครหยิบไป แล้วเมื่อมองออกไปที่ห่างจากตรงนั้นประมาณสิบเมตร เขาเห็นสุนัขสองตัวกำลังใช้ปากแย่งกันดึงกางเกงของเขาอยู่ แล้วก็เห็นสุนัขอีกตัวที่นั่งหมอบลงกับพื้นและกำลังใช้ปากกัดเสื้อของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ไอ้พวกหมาจรจัด เอาเสื้อผ้าฉันมานะ” ชายร่างเตี้ยในร่างที่ล่องหนตะโกน พร้อมกับวิ่งเข้าไปหาสุนัขทั้งสามตัว เขาดึงแย่งเสื้อกับสุนัขอยู่สักพัก แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถสู้แรงสุนัขได้ เจ้าสุนัขดึงเสื้อของเขาจนหลุดมือ แล้วเขาก็กระเด็นหงายหลัง แล้วเจ้าสุนัขก็วิ่งไปหนีพร้อมกับเสื้อที่อยู่ในปาก ส่วนสุนัขอีกตัวก็วิ่งหนีไปพร้อมกับกางเกงเช่นกัน
“โอย… ไอ้พวกหมาบ้า” ชายร่างเตี้ยว่า ในขณะที่เขากำลังค่อย ๆ ลุกขึ้น เมื่อไม่มีอะไรสวมใส่และร่างที่ล่องหนอยู่สิ่งเดียวที่เขาคิดออกในเวลานี้ก็คือ หาเสื้อผ้ามาให้ตนเองใส่ให้ได้ก่อนแล้วจึงค่อยทำภารกิจต่อ
ชายร่างเตี้ยในร่างที่ล่องหนและเปลือยเปล่าจึงเดินไปที่อาคารหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ครั้งนี้เขาไม่ลืมที่จะอ่านตัวหนังสือที่ติดอยู่หน้าอาคาร
‘อายุรกรรม’
ชายร่างเตี้ยเดินเข้าไปในอาคารแล้วยืนอ่านตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนกระดาน “อายุรกรรมชาย ๆ อยู่ไหนนะ ฮ่านี่ไง เจอแล้ว” ชายร่างเตี้ยคิดในขณะที่กำลังไล่หาชั้นที่เป็นส่วนสำหรับผู้ชาย “ขึ้นบันไดไปทางซ้าย อยู่ชั้นสอง”
แล้วชายร่างเตี้ยก็เดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองของตึก เมื่อไปถึงเขาก็เดินไปที่สำหรับหมอและพยาบาลเท่านั้น เขารอจนไม่มีใครอยู่แล้วจึงเดินไปเปิดตู้ล็อกเกอร์ซึ่งมีอยู่ตู้หนึ่งที่ไม่ได้ปิดล็อกกุญแจไว้ เมื่อเปิดออกมาเขาพบชุดสีขาวสำหรับบุรุษพยาบาลหนึ่งชุดวางอยู่ในตู้
ชายร่างเตี้ยหยิบชุดบุรุษพยาบาล จากนั้นก็เดินไปที่ห้องน้ำเพื่อทำการใส่เสื้อผ้า เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เขาก็เอาไม้ที่ดูคล้ายตะเกียบแท่งสีดำของเขาออกมา เขาโบกไม้ผ่านใบหน้าตัวเองหนึ่งครั้ง ร่างของเขาก็กลับมามองเห็นได้เหมือนเดิม จากนั้นเขาก็เปิดประตูห้องน้ำและเดินออกมา เขาเดินออกมาจากอาคารอายุรกรรมหน้าตาเฉยโดยที่ไม่มองอะไรทั้งนั้น ไม่แม้แต่จะสนใจสายตาของเจ้าหน้าที่พยาบาลที่พากันมองเขาอย่างแปลก ๆ
“เด็กทารกแรกเกิดต้องอยู่ที่ตึกคลอด ใช่แล้ว” ชายร่างเตี้ยคิดในขณะที่กำลังเดินผ่านคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียง
“เวทมนต์เรายังอ่อนอยู่ ขืนอยู่ในร่างล่องหนนานจนกลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้ล่ะแย่เลย” ชายร่างเตี้ยคิด
ชายร่างเตี้ยเดินออกมาถึงด้านนอกของอาคารอายุรกรรม เขาเดินมุ่งหน้าไปที่อาคารอีกอาคารหนึ่งที่อยู่ติดกันกับอาคารอายุรกรรม อาคารแห่งนี้ถูกต้นไม้ใหญ่ปกคลุมจนแทบจะมองไม่เห็นตัวอาคาร ทำให้บริเวณนั้นดูร่มรื่นไม่น้อย เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ตัวอาคาร ทำให้เขาเห็นว่าอาคารหลังนี้สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง
ชายร่างเตี้ยยืนมองตัวอาคารไม้หลังนี้อยู่ชั่วครู่ เมื่อไม่เห็นอะไรที่บ่งบอกให้รู้ว่าอาคารไม้หลังนี้เป็นอาคารที่ทางโรงพยาบาลใช้สำหรับทำอะไร เขาจึงเดินขึ้นบันไดเพื่อเข้าไปที่ภายในตัวอาคารทันที
“เข้าไปดูสักหน่อย คงไม่เป็นอะไรหรอกนะ” ชายร่างเตี้ยคิดในขณะที่เขากำลังเดินขึ้นบันไดเพื่อเข้าไปที่ภายในตัวอาคาร “จะได้รู้ว่าที่นี่เป็นที่ที่เขาใช้ทำอะไร จะได้ไม่ต้องเดินเสียเวลาเดินมาแถวนี้อีก”
เมื่อชายร่างเตี้ยเดินเข้าไปถึงภายในอาคารไม้ ภาพที่เขาเห็นก็คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาจำนวนสามสิบกว่าคนกับคุณครูผู้หญิงหนึ่งคน ทั้งหมดกำลังฟังการบรรยายของนางพยาบาลสาวสวยคนหนึ่งอยู่
“รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งนะค่ะ ที่คุณครูและนักเรียนชั้น ป.4 จากโรงเรียนเทศบาล 1 ได้ให้เกียรติมาเยี่ยมชมแผนกบำบัดผู้ป่วยทั่วไปของโรงพยาบาลเรา” นางพยาบาลสาวสวยกล่าวในขณะที่ข้างตัวเธอมีชายวัยกลางคนในชุดคนไข้ของโรงพยาบาลนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
“สำหรับคุณลุงท่านนี้นะค่ะ ท่านเป็นหนึ่งในผู้มารับการบำบัดของแผนกเรา” นางพยาบาลสาวสวยอธิบาย “ช่วยบอกสิค่ะ คุณลุงมาเข้ารับการบำบัดเนื่องจากสาเหตุอะไร”
ดื่มเหล้า” ลุงผู้เข้ารับการบำบัดตอบห้วน ๆ และชูสองนิ้ว “สองขวดต่อวัน”
“ค่ะ และตั้งแต่ที่คุณลุงมาเข้ารับการบำบัดได้สองสัปดาห์ ก็ทำให้คุณลุงสามารถหายจากอาการอยากเหล้าได้” นางพยาบาลสาวสวยอธิบาย
คำเตือน การลักขโมยของของคนอื่นเป็นเรื่องผิดกฎหมายและเป็นการกระทำที่ไม่ควรเอาแบบอย่าง แล้วยังถือเป็นการทำบาปโดยการทำผิดศีลห้าในข้อที่สองอีกด้วย
“เหล้าไม่ดี” ลุงผู้เข้ารับการบำบัดบอกกับนักเรียน
“นั้น เห็นไหมค่ะ เหล้าเป็นสิ่งไม่ดี น้องๆไม่ควรไปดื่มมันนะค่ะ” นางพยาบาลสาวสวยบอก
“ไม่น่าจะใช่ที่นี่แน่” ชายร่างเตี้ยคิด แล้วเขาก็กลับหลังหันและเดินออกไปจากอาคารไม้นี้ทันที
แล้วชายร่างเตี้ยในชุดบุรุษพยาบาลก็เดินว่อนไปทั่วเขตโรงพยาบาล เขาเดินผ่านตึกศัลยกรรม แล้วก็เดินขึ้นไปบนตึกที่มีผู้ป่วยทั่วไปมาเข้ารับการตรวจ ที่นั้นมีผู้คนเดินไปเดินมาอยู่เป็นจำนวนมาก จากนั้นก็เดินไปที่ตึกที่เรียกว่าตึกฉุกเฉิน ซึ่งในตึกนี้จะมีคนที่ประสบอุบัติเหตุหรือมีอาการที่ร้ายแรงมาเข้าการรักษาเป็นจำนวนมาก
จนถึงตอนนี้เป็นเวลาสิบนาฬิกาสามสิบนาที ชายร่างเตี้ยในชุดบุรุษพยาบาลก็ยังหาตึกคลอดที่ซึ่งทางโรงพยาบาลใช้เป็นที่สำหรับเด็กทารกแรกเกิดไม่เจอ และจากการเดินอย่างไม่มีหยุดมาเป็นเวลานานเกือบชั่วโมงจึงทำให้เขารู้สึกเมื่อยขาเป็นอย่างมาก เขาจึงนั่งพักบนที่นั่งตามทางเดินที่ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้
ตอนนั้นเอง คนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านเขาไป และเขาจับคำที่พูดคุยกันได้บางคำ
“รีบ ๆ เดินเร็ว ลูกเขาจะคลอดแล้ว”
ชายร่างเตี้ยลุกขึ้นยืนทันที คนพูดเป็นนักศึกษาพยาบาลหญิงคนหนึ่งกำลังพูดกับนักศึกษาพยาบาลหญิงอีกคน ชายร่างเตี้ยเดินตามนักศึกษาพยาบาลกลุ่มนั้นไป พวกนั้นเดินกันเร็วมาก ชายร่างเตี้ยจึงเร่งฝีเท้าขึ้นมากกว่าเก่า เพื่อที่จะเดินตามให้ทัน
แล้วชายร่างเตี้ยก็เดินมาถึงตึกๆหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากตึกศัลยกรรมไม่เท่าไรนัก เขาจำได้ว่าเขาได้เดินผ่านตึกนี้ไปแล้วถึงสองครั้ง
นับว่าโชคนั้นเข้าข้างที่ชายร่างเตี้ยได้สวมชุดบุรุษพยาบาล ซึ่งทำให้เขาสามารถเดินเข้าไปในห้องคลอดได้สบาย ๆ เพราะในห้องนี้บุคคลภายนอกจะไม่สามารถเข้าได้เลย นอกจากหมอ พยาบาล และนักศึกษาพยาบาลเท่านั้น
“นี่เพิ่งมาใหม่เหรอ” นางพยาบาลคนหนึ่งถามชายร่างเตี้ยในขณะที่สายตาของเธอมองเขาอย่างไม่คุ้นหน้า
“ใช่ครับ” ชายร่างเตี้ยตอบ “ผมเพิ่งย้ายมา”
“ไม่เห็นมีใครบอกว่าจะมีบุรุษพยาบาลย้ายมาแผนกนี้” นางพยาบาลพูด “แต่ก็เอาเถอะ นี่เธอช่วยจัดการนี้ทีนะ”
นางพยาบาลชี้ไปที่เครื่องมือทำคลอดที่วางอย่างไม่เป็นระเบียบบนโต๊ะเลื่อน
ชายร่างเตี้ยมองไปที่โต๊ะเลื่อนและมองดูรอบห้องก่อนที่จะพูดว่า
“คือผมมีหน้าที่ต้องไปดูแลเด็กที่เพิ่งเกิดแล้วน่ะครับ”
“อ่าว งั้นหรอกเหรอ ก็ไปซิ มายืนอยู่นี่ทำไม” นางพยาบาลว่า
“คือผมไม่รู้ว่า เขาเอาเด็กที่เพิ่งเกิดไปไว้ที่ไหนน่ะครับ”
“มาใหม่ก็อย่างนี้แหละนะ เธอก็เดินออกไปจากนี่ อยู่ทางด้านหลังห่างจากตึกนี้ออกไปไม่ไกลนักหรอก” นางพยาบาลบอก
แล้วชายร่างเตี้ยในชุดบุรุษพยาบาลก็ออกเดินไปที่ตึกอีกตึกหนึ่งที่อยู่ด้านหลังตึกคลอด ซึ่งอยู่ห่างจากตึกคลอดไม่ไกลเท่าไรนัก
เมื่อเดินไปถึงชายร่างเตี้ยในชุดบุรุษพยาบาลก็เห็นตัวหนังสือที่ติดอยู่หน้าอาคาร
‘สูติกรรม’
แล้วชายร่างเตี้ยก็เดินเข้าไปในตึกสูติกรรม เมื่อใช้สายตาสอดส่องไปทั่วจนแน่ใจแล้วว่าในชั้นแรกไม่มีห้องสำหรับเด็กทารกแรกเกิดแน่ เขาจึงขึ้นบันไดไปชั้นสองทันที
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นที่สองของตึกสูติกรรม ชายร่างเตี้ยก็ยิ้มออกทันที ภาพที่เห็นตรงหน้าก็คือ ห้อง ๆ หนึ่งที่ภายในห้องเต็มไปด้วยเด็กทารกมากมายกว่าสามสิบคน เขาจึงเดินมุ่งหน้าเพื่อที่จะเข้าไปในห้องนั้น
ทันใดนั้นเอง เสียงผู้หญิงก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“นั้นจะทำอะไรน่ะ”
ชายร่างเตี้ยรีบหันไปทันทีด้วยความตกใจกับเสียงที่เพิ่งได้ยิน
“คือ ๆ ผมจะเข้าไปดูแลเด็กน่ะครับ” ชายร่างเตี้ยรีบบอกกับนางพยาบาลที่ยืนทำหน้าบึ้งอยู่
“ถึงเวรเธอแล้วเหรอ ไม่ยักรู้ว่าบุรุษพยาบาลมีเวรที่นี่ด้วย” นางพยาบาลมองชายร่างเตี้ยอย่างน่าสงสัยและไม่คุ้นหน้า แต่ชายร่างเตี้ยก็ยังนิ่งและไม่พูดอะไร นางพยาบาลจึงพูดต่ออีกว่า
“นี่รู้อะไรบ้างไหมเนี้ยะ ว่าจะเข้าห้องนี้ต้องทำยังไง”
“ไม่ทราบครับ” ชายร่างเตี้ยส่ายหน้า
“ชั้นล่ะเบื่อพวกพยาบาลฝึกหัดจริง ๆ เป็นแบบนี้แทบทุกคน” นางพยาบาลชี้นิ้วไปที่ห้อง ๆ หนึ่งที่อยู่ทางด้านหลัง
ชายร่างเตี้ยเดินไปที่ห้องที่นางพยาบาลชี้นิ้วมา ห้องนี้เป็นห้องเปลี่ยนชุด ซึ่งมีชุดให้เลือกเปลี่ยนมากมาย ถึงตรงนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมนางพยาบาลถึงไล่ให้เขาเข้ามาเปลี่ยนชุดที่ห้องนี้ เพราะว่าห้องที่เขากำลังจะเข้าไปนั้น มีเด็กทารกอยู่มากมายซึ่งล้วนแต่ติดเชื้อโรคได้ง่าย เขาจึงต้องเปลี่ยนชุดเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเพื่อสู่เด็กทารก
ชายร่างเตี้ยจัดการเปลี่ยนชุดตนเอง เป็นชุดสีเขียวทั้งชุด เขาใส่หน้ากากปิดจมูกก็เป็นอันเสร็จ จากนั้นเขาก็เดินออกมาจากห้องเปลี่ยนชุด และเดินตรงไปที่ห้องที่มีเด็กทารกแรกเกิดทันที
“จะรู้ได้ว่า เด็กคนไหนเกิดวันเวลาอะไร ต้องดูที่สายรัดข้อมือ ใช่แล้ว” ชายร่างเตี้ยไล่ดูข้อมือเด็กทารกทีละคน
ชายร่างเตี้ยไล่ดูข้อมือเด็กทารกในห้องนั้นจนเกือบจะครบทุกคน เขาก็ยังไม่เจอเด็กที่เกิดในวันนี้ ทันใดนั้นเองที่บริเวณหน้าห้อง นางพยาบาลสองคนกำลังเดินมาโดยที่ทั้งสองกำลังอุ้มเด็กทารกอยู่ในอ้อมแขนด้วย
ชายร่างเตี้ยรีบไล่ดูที่ข้อมือของเด็กทารกจนครบทุกคน เขาก็ยังไม่พบเด็กที่เกิดในวันนี้ จากนั้นเขาก็ยืนมองดูนางพยาบาลสองคนที่เพิ่งอุ้มเด็กทารกเข้ามา นางพยาบาลทั้งสองวางเด็กทารกตรงบริเวณทางเข้าหน้าห้องแล้วก็เดินออกไป เขาจึงเดินไปที่เด็กทารกทั้งสองทันที
เมื่อเดินไปถึง ชายร่างเตี้ยก็จับแขนเด็กทารกคนหนึ่ง และค่อย ๆ ยกแขนขึ้นมาเพื่อที่จะดูที่สายรัดข้อมือ
‘บุตรของ นายวีระภาพ อัคนีวัชระ กับ นางสุพัตรา อัคนีวัชระ เกิดวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2533 เวลา 7.30 น.’
หัวใจของชายร่างเตี้ยเต้นแรงขึ้นมา
“เจอแล้ว” เขาคิดในใจ
แล้วเพื่อความแน่ใจว่าเขาเจอคนที่เขาตามหาแล้ว แล้วจึงดูสายรัดข้อมือของเด็กทารกแรกเกิดอีกคน
‘บุตรของ นายพลพยัคฆ์ พุทธรักษา กับ นางสาวสุวีรา บุญประเสริฐ เกิดวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2533 เวลา 7.15น.’
ชายร่างเตี้ยรู้สึกตกใจขึ้นมาทันที
“ทำไงดีเนี้ยะ เด็กมีสองคน ไม่ได้คิดเรื่องนี้มาด้วย” ชายร่างเตี้ยรู้สึกกังวลและสับสน
“แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อมีสองคน ก็ต้องจัดการทั้งสองคน” ชายร่างเตี้ยคิด แล้วเขาก็ค่อย ๆ เอาไม้ที่ดูคล้ายตะเกียบแท่งสีดำของเขาออกมา ก่อนที่จะยกมันขึ้น
ชายร่างเตี้ยยืนจ้องตากับเด็กทารกที่เป็นบุตรของนายพลพยัคฆ์ พุทธรักษากับนางสาวสุวีรา บุญประเสริฐอยู่สักพัก ดวงตาทารกน้อยดูช่างไร้เดียงสาและปราศจากพิษสงใด ๆ
“เฮ้อ ทำไม่ลง” ชายร่างเตี้ยคิด เขาไม่เคยฆ่าใครมาก่อน ยิ่งให้มาลงมือกับเด็กทารกยิ่งไม่กล้าทำเข้าไปใหญ่ เขาค่อยๆ ลดมือที่ถือไม้ที่ดูคล้ายตะเกียบแท่งสีดำลง
“จะทำอะไรน่ะ” เสียงผู้หญิงถามขึ้น
ชายร่างเตี้ยหันไปตามเสียงนั้น เป็นเสียงของนางพยาบาลคนหนึ่งที่อุ้มเด็กทารกเข้ามาเมื่อกี๊นี้
“อ๋อ ลูกเขาน่ารักดีน่ะ ก็เลยอยากจะดูใกล้ ๆ” ชายร่างเตี้ยตอบ
“อ๋อเหรอ แล้วทำไมไม่ไปเปลี่ยนชุดก่อนล่ะ” นางพยาบาลบอก พลางมองชายร่างเตี้ยอย่างไม่คุ้นหน้า
“เอ่อ ขอโทษที” ชายร่างเตี้ยทำท่าเกาศีรษะ “พอดีเห็นเด็กก็เลยลืมน่ะ” จากนั้นเขาก็เดินไปที่ห้องเปลี่ยนชุด
“ทำไงดีนะ” ชายร่างเตี้ยพูดกับตัวเองในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากที่เขาถอดชุดออกแล้ว “เด็กมีสองคน แถมยังไม่กล้าลงมืออีก รู้แบบนี้ ไม่น่าอาสามาคนเดียวเลย”
ด้วยความรู้สึกเป็นกังวลและสับสนบวกกับเวลานี้ใกล้จะเที่ยงวัน ชายร่างเตี้ยเสียเวลามามากแล้วในการทำภารกิจจัดการกับเด็กทารกแรกเกิดโดยการฆ่า เขาจึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
ชายร่างเตี้ยเดินไปที่เด็กทารกแรกเกิดทั้งสองคนที่เกิดในวันที่ 9 เดือนเมษายน ซึ่งในตอนนี้นางพยาบาลได้ย้ายเด็กทารกทั้งสอง เข้าไปในห้องรวมกับเด็กทารกคนอื่นๆแล้ว
ชายร่างเตี้ยรอจนนางพยาบาลเดินออกมาจากห้องนั้น เขาจึงเดินเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้ง และเดินไปที่เด็กทารกสองคนสุดท้าย เขาดูที่สายรัดข้อมือของเด็กทารกทั้งสองเพื่อความแน่ใจ เมื่อเห็นว่าไม่ผิดตัวแน่ เขาก็เอาไม้ที่ดูคล้ายตะเกียบแท่งสีดำของเขาออกมา
ชายร่างเตี้ยโบกไม้ไปที่เด็กทารกทั้งสองซึ่งกำลังหลับอยู่ เกิดเป็นแสงสีเหลืองวาบขึ้นแว๊บหนึ่งที่เด็กทารกทั้งสอง แล้วเขาก็โบกไม้อีกครั้งเด็กทารกทั้งสองก็สลับที่นอนกัน และเขาก็โบกไม้เป็นครั้งสุดท้ายสายรัดข้อมือของเด็กทารกทั้งสองก็สลับกันทันที
จากนั้นชายร่างเตี้ยก็รีบเดินออกมาจากห้องนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่นางพยาบาลจะมาเห็น
“ถ้าเด็กร่างกายพิการและถูกเลี้ยงโดยคนที่ไม่ใช่พ่อแม่คงไม่จะเป็นไรหรอกมั้ง” ชายร่างเตี้ยคิดในขณะที่เขากำลังเดินลงมาจากอาคารสูติกรรม
• • •
นาฬิกาที่แขวนกับผนังบอกเวลาในขณะนี้ (สองทุ่มสิบนาที) นายพลพยัคฆ์ พุทธรักษากำลังนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ภายในห้องเช่าของตนเองที่อพาร์ตเมนต์เพื่อที่จะรอชมข่าวจากสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นซึ่งกำลังจะมาในอีกไม่ช้า ภรรยาและลูกชายของเขาต้องอยู่ที่โรงพยาบาลอีกประมาณสองสัปดาห์ หมอจึงจะอนุญาตให้กลับบ้านได้
และแล้วรายการข่าวก็มา
“สวัสดีค่ะท่านผู้ชมที่เคารพ ขอต้อนรับสู่ข่าวท้องถิ่นประจำวันที่ 9 เมษายน ปีพุทธศักราช 2533” ผู้ประกาศข่าวหญิงกล่าวทักทาย “มาที่ข่าวแรกกันนะค่ะ เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ขึ้นที่บริเวณชุมชนเมืองเก่าใกล้ ๆ กับริมแม่น้ำจันทบุรี ก่อนที่จะเกิดเหตุเพลิงไหม้ มีผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า มีวัตถุประหลาดลงมาจากท้องฟ้าและตกลงที่บริเวณชุมชนเมืองเก่าก่อนที่จะเกิดเหตุเพลิงไหม้”
ภาพตัดไปที่สถานที่เกิดเหตุที่ได้ถ่ายทำไปเมื่อเช้านี้ มีผู้สื่อข่าวกำลังสัมภาษณ์ชาวบ้านผู้เห็นเหตุการณ์อยู่ “เห็นเป็นลูกไฟขนาดเท่าลูกฟุตบอลได้มั้งตกลงมาจากฟ้าเกิดเสียงดังสนั่นเลย จากนั้นอีกสักพักไฟก็ไหม้” ชาวบ้านผู้เห็นเหตุการณ์อธิบาย
ภาพตัดมาที่ผู้ประกาศข่าวหญิงอีกครั้ง “และหลังจากที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้เวลาสามชั่วโมงก็สามารถควบคุมเพลิงได้สำเร็จ ซึ่งบ้านในบริเวณที่เกิดเหตุเพลิงไหม้มีลักษณะเป็นบ้านติดๆ กัน ทำให้มีบ้านถูกเพลิงไหม้ไปเป็นจำนวนมาก และเมื่อเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าไปสำรวจสถานที่เกิดเหตุ ก็ได้พบกับก้อนหินสีฟ้าใสขนาดเท่าลูกฟุตบอลอยู่ภายในซากของบ้านที่ถูกเพลิงไหม้ เมื่อลองยกดูก็ได้พบว่าหินก้อนนี้มีความหนักมาก ได้ใช้คนยกอยู่หลายคนก็ไม่สามารถยกขึ้นได้ จนสุดท้ายก็มีชาวบ้านได้แนะนำให้นิมนต์พระมาสวด เมื่อนิมนต์พระมาสวดหินก้อนนี้ก็สามารถยกขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์”
ภาพตัดไปที่สถานที่เกิดเหตุ เป็นภาพของบ้านที่ถูกไฟไหม้จนเหลือแต่ซากที่ไหม้ดำเป็นตอตะโก มีพระสงฆ์หนึ่งรูปกำลังยืนอยู่กับชาวบ้านประมาณ 4-5 คนที่กำลังยืนมุงอะไรบางอย่างและกำลังค่อย ๆ ยกสิ่งที่กำลังยืนมุงขึ้น
“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอ นี่ดีนะที่ไม่ตกลงมาที่อพาร์ตเมนต์เรา” พลพยัคฆ์คิด จากนั้นเขาก็ปิดโทรทัศน์ก่อนที่จะลุกขึ้นและเดินไปปิดไฟ แล้วก็เข้านอน
• • •
ไกลออกไปหลายกิโลเมตร บ้านร้างหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองจังหวัดจันทบุรี สภาพของมันคงจะมีอายุไม่ต่ำไปกว่า100ปี น่าจะสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 กำลังจะถูกใช้เป็นที่นัดพบของคนกลุ่มหนึ่ง ท่ามกลางความมืดและเงียบสนิท ทันใดนั้นเอง ร่างที่มีผ้าคลุมศีรษะสามร่างได้ปรากฏตัวขึ้น แล้วทั้งสามก็เดินเข้ามาในบ้านร้างอายุ100ปีหลังนี้
“เป็นอย่างไรบ้างวันนี้” เสียงผู้หญิงถามออกมาจากใต้ผ้าคลุม เมื่อทั้งสามมายืนพร้อมกันตรงหน้า
“เรียบร้อยดีครับ” เสียงผู้ชายพูดออกมาจากใต้ผ้าคลุม เขาสูงแค่ไหล่ผู้หญิงเท่านั้น
“ทำไมแกใช้เวลานานนัก กะไอ้แค่เด็กทารกคนเดียว” เสียงผู้ชายอีกคนถามออกมาจากใต้ผ้าคลุม เขาตัวสูงกว่าใครในทั้งสามคน
“ก็คงจะเสียเวลาตรงที่เดินตามหาล่ะซิ ใช่ไหม” ผู้หญิงว่า “เพราะว่าแกมันขี้อาย ก็เลยไม่กล้าเข้าไปถามใคร”
ชายตัวเตี้ยในผ้าคลุม ยืนก้มหน้า ไม่พูดอะไร เพราะรู้ตัวดีในสิ่งตนเองเป็น
“แกรู้ไหม วันนี้เป็นวันอะไร” ชายตัวสูงถาม
“วันจันทร์ครับ” ชายตัวเตี้ยตอบ “เป็นวันที่ผู้เปลี่ยนโลกได้เกิดขึ้นมา” เขาพูดต่อให้จบ
“เรื่องนั้นข้ารู้ เจ้าสมองขี้เลื้อย” ชายตัวสูงตะคอก “แกรู้บ้างไหมว่า มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นวันนี้”
“เหตุการณ์อะไรเหรอครับ”
“วันนี้เป็นวันครีษมายัน*” ชายตัวสูงบอก “แกรู้ใช่ไหมว่ามันหมายถึงอะไร”
“ไม่ทราบครับ”
ชายตัวสูงผงกศีรษะลงอย่างเบื่อหน่าย
“ตามความเชื่อของชนเผ่านักเวทย์ มันคือสัญญาณเริ่มต้นของบางสิ่งบางอย่างในวันนี้” ผู้หญิงบอก
“ใช้แล้ว ข้าก็เลยจะถามแกว่า สิ่งที่แกไปทำวันนี้ สำเร็จไหม” ชายตัวสูงถาม
“สำเร็จครับ”
“สำเร็จยังไง”
“ร่างกายของเด็กพิการ และจะถูกเลี้ยงโดยคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ครับ”
“ห๊ะ” ชายตัวสูงกับผู้หญิงอุทานออกมาพร้อมกันด้วยเสียงอันดัง
“ไหนแกบอกว่าเรียบร้อยไง” ผู้หญิงถามด้วยความโมโห
ผู้หญิงในผ้าคลุมทำท่าจะกระโจนเข้าหาชายตัวเตี้ยในผ้าคลุม แต่ชายตัวสูงในผ้าคลุมรั้งตัวเธอไว้ได้ทัน
“ข้าบอกแกแล้วใช่ไหม ว่าถ้างานนี้ ไม่สำเร็จ แกจะเป็นยังไง” ชายตัวสูงพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำและเยือกเย็น
ไม่มีใครรู้ว่าชะตากรรมของชายตัวเตี้ยคนนี้จะเป็นยังไง ภายในความมืดมิดของบ้านร้างอายุ100ปีหลังนี้ และที่บนท้องฟ้าในยามค่ำคืนของอำเภอเมืองจังหวัดจันทบุรี สถานที่สุดท้ายที่คุณคาดหวังว่าจะมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้น ทารกน้อยเพศชายทั้งสองที่เกิดในวันนี้ หนึ่งในสองกำลังจะได้พบกับเรื่องราวที่สุดจะคาดคิดที่กำลังจะเกิดขึ้นในชีวิตของเขา
*วันที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรของโลกไปทางทิศเหนือมากที่สุด ตำแหน่งดวงอาทิตย์จะอยู่สูงสุดบนท้องฟ้า มักจะเกิดขึ้นในฤดูร้อน
 


  คำตอบที่ 1  
 

devina

13 ก.ย. 56
เวลา 22:14:58
วิจารณ์ไม่เป็นเเต่ ชอบเรื่องนี้ตรงที่ มีเวทมนตร์คาถาด้วยทั้งๆที่ ตอนเเรกอ่านๆไปเหมือนนิยายชีวิตคนปกติธรรมดาทั่วไป
 


  คำตอบที่ 2  
 

phakin

16 ก.ย. 56
เวลา 23:24:49
ขอบคุณมากนะครับ จะบอกว่านิยายเรื่องยังมีอะไรอีกเยอะ ไม่ได้มีแค่เวทมนต์เท่านั้น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็มีมาเกี่ยวข้องด้วยนะ
 
 


  คำตอบที่ 3  
 

คุณพีทคุง

29 ก.ย. 56
เวลา 14:00:20
น่า่สงสารเด็กสองคนนะครับเนี่ย

ครีษมายัน เข้าใจว่าเป็นวันที่กลางวันยาวที่สุดในรอบปี ปกติจะอยู่ราว 21 มิถุนายนนะครับ
 


  คำตอบที่ 4  
 

phakin

29 ก.ย. 56
เวลา 14:22:32
ก็น่าสงสารอยู่ครับ มันเป็นโชคชะตาที่เด็กทั้งสองต้องเผชิญน่ะครับ ทั้งสองจะโชคดีคนละอย่าง คนนึงจะถูกเลี้ยงโดยคนที่ฐานะร่ำรวยแต่เขาจะพิการทางร่างกายและสติปัญญา แต่อีกคนร่างกายและสติปัญญาสมประกอบทุกอย่าง แต่ถูกเลี้ยงโดยคนที่ฐานะไม่ค่อยดีนัก และคนที่เลี้ยงเด็กทั้งสองก็ไม่ใช่พ่อแม่เขาครับ
วันครีษมายัน ข้อมูลของผมไปเอามาจากหนังสือเล่มนึง เขายืยยันแบบนี้จริง ๆ ครับ
 


  คำตอบที่ 5  
 

กุลภัสสร์

1 ต.ค. 56
เวลา 17:47:46
ขอบคุณมากนะคะที่ไปอ่านให้ ^^
คือมาอ่านเรื่องนี้แล้ว น่าสนใจดีค่ะ อยากอ่านต่อ เหมือนอย่างที่คห.หนึ่งว่า และก็อย่างที่คุณ phakin ว่าด้วยค่ะ มีความน่าสนใจที่แฝงในความปกติ พยายามเข้านะคะ
 


  คำตอบที่ 6  
 

phakin

1 ต.ค. 56
เวลา 19:06:20
ขอบคุณมากครับ คุณกุลภัสสร์ สำหรับความคิดเห็น ที่อ่านไปเป็นบทแรก ยังมีต่ออีกหลายบท ว่าง ๆ ถ้าเขียนเสร็จจะเอามาให้อ่านอีกนะครับ
 


  คำตอบที่ 7  
 

phakin

14 ต.ค. 56
เวลา 13:29:12
^____________^
 




  เชิญกรอกข้อความเพื่อตั้งคำถาม  
  กรุณา login เพื่อตอบคำถาม