ตอบคำถามเพิ่ม คลิกที่นี่
 
  The red artifact part 1 : Prince Suthon The beginning of legend พระสุธนกับห้าอาณาจักร  
 
 

หน้ากากเหล็ก

11 พ.ค. 60
เวลา 1:56:54

พิมพ์
แจ้งลบ
ส่งหาเพื่อน
คุณเชื่อว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตแห่งอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ครอบครองวิทยาการล้ำสมัยหรือไม่ ?

บ้างลือบ้างเล่าอ้างว่าอารยธรรมเหล่านั้นติดต่อกับคนจากนอกโลกหรือแม้กระทั่งเป็นผู้มาเยือนจากอวกาศเสียเอง

บ้างก็ว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันของนักแต่งนิยายสติเฟื่องคนนึงเท่านั้น....

มนุษย์อย่างพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตแรกและชนิดเดียวที่อุดมปัญญาท่ามกลางสายพันธุ์นับไม่ถ้วนบนโลกนี้ จริงหรือเปล่า...

“ ผมเคยเชื่อว่าไม่จริง แต่ตอนนี้ ...!! ผมคิดว่าเมื่อก่อนมีมนุษย์หรือบางอย่างรูปร่างคล้ายพวกเราแต่ทรงพลัง ชาญฉลาดกว่ามีวิทยาการอันน่าทึ่งแบบไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงดังยุคปัจจุบัน

ผมคงไม่อาจหาคำอธิบายได้อย่างชัดเจนนอกจากคำว่าเป็นวิทยาการจากเวทมนต์ !!! ”

นักโบราณคดีวัยกลางคนในชุดนักสำรวจรูปร่างผอมเกร็งท่าทางแข็งแรงกว่าคนรุ่นเดียวกันกำลังเสนอการค้นพบอันยิ่งใหญ่ผ่านทางสไลด์สรุปและหลักฐานโบราณวัตถุต่างอารยธรรมจากทั่วโลก มาสนับสนุนการนำเสนอเรียงรายอยู่บนโต๊ะ

ท่ามกลางห้องประชุมอันมืดสลัวจนเงามืดบดบังใบหน้าผู้รับชมการนำเสนอหลายคน

“ ผะ ผม เชื่อว่าที่ตั้ง 5 อารยธรรมโบราณเหล่านั้นอยู่บริเวณทวีปอเมริกาใต้บริเวณเปรูในปัจจุบัน บริเวณเส้นนาซคาอันเลื่องชื่อ ,

ใจกลางสามเหลี่ยมเบอมิวด้าแห่งมหาสมุทรแอตแลนติก , อียิปต์ ,

บริเวณที่เรียกว่าสามเหลี่ยมมังกรในคาบสมุทรอินเดีย และดินแดนแถบประเทศอินเดีย

ผมเชื่อว่าการค้นพบครั้งนี้จะพลิกพลันประวัติศาสตร์ของเราเลยทีเดียว !! ”

“ แปะ แปะ แปะ ” เสียงตบมือจากผู้รับชมทุกคนดังสนั่นทั่วห้อง

“ ไม่เสียแรงที่พวกเราออกเงินสนับสนุนจริงๆ คุณโจนส์.... คุณทำได้ยอดเยี่ยมมากครับ ” ผู้ชมคนนึงกล่าวชื่นชมออกมาทุกอย่างดูดำเนินไปด้วยดีสำหรับนักโบราณคดีกระทั่ง

“ ทว่า... การค้นพบครั้งนี้ต้องไม่แพร่งพรายออกไปจากห้องนี้ ” น้ำเสียงเย็นชากล่าวตัดขึ้นมาจนโจนส์ผงะ

ก่อนที่เขาจะได้กล่าวอะไรโต้แย้ง ผู้ประชุมคนนึงลุกขึ้นมาจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามาหานักโบราณคดี

กระทั่งใกล้พอที่แสงสว่างจากสไลด์จะเผยโฉมสตรีวัยกลางคนในชุดราตรีธรรมดา มือข้างนึงถือเครื่องดื่มสีโลหิตในแก้วไวน์

ทว่านักโบราณคดีกลับรู้สึกผวาจนตัวสั่นโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้นสตรีในสายตาจะดูเหมือนหญิงวัยกลางคนธรรมดา

“ ดิฉันขอถามคุณโจนส์หน่อยคะ คุณโจนส์คิดว่าในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติทรัพยากรอะไรบริหารยากที่สุดแต่ก็เป็นทรัพยากรอันทรงคุณค่าที่สุด ? ” หญิงวัยกลางคนกล่าวถามด้วยรอยยิ้มหวาน

นักโบราณคดีตัวสั่น เหงื่อท่วมกาย แม้นห้องหนาวเหน็บด้วยเครื่องปรับอากาศ ณ วินาทีนี้ การส่ายหัวตอบกลับก็เต็มกลืนแล้ว

“ ทรัพยากรมนุษย์ไงล่ะคะ พวกเราอยากจะให้ลิงเหล่านั้นเชื่อว่า‘เวทมนต์’ เป็นเพียงแค่ของงมงายเท่านั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขายึดถือในยุคสมัยใดๆจะต้องเป็นไปตามที่พวกเราต้องการเท่านั้น

พวกมันจะเชื่อว่าพวกมันมีเสรีภาพแม้นเต้นระบำตามใยที่พวกเราชักไว้ หากเป็นสมัยนี้ใครๆก็คงเรียกใยนั้นว่า ‘ประชาธิปไตย’ กระมังคะ ” สตรีผู้นั้นยังคงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มอันอำมหิต

พอฟังจบนักโบราณคดีโจนส์เก็บงำความกลัวไม่ไหวจนสติแตก

“ ยะ อย่าฆ่าผมเลย !!!!!! ผะ ผมสัญญาว่าจะไม่พูดออกไปแน่ๆ ” ตะโกนออกมาอย่างหวาดผวา

วินาทีนั้นฝ่ามืออันเย็นเฉียบของหญิงผู้นั้นเข้ามากุมมือนักโบราณคดี

“ อย่ากลัวไปเลยค่ะ คุณจะมีชีวิตอยู่แน่นอน ” เธอกล่าวปลอบใจด้วยสีหน้าสงบปิดตาทั้งสองข้าง

“ แม้นพลังชีวิตนั้นจะไหลเวียนในตัวดิฉันก็ตามเถิด !! ” แล้วลืมขึ้นมาด้วยดวงตาอมนุษย์ เบ้าตาดำดุจราตรีอันไร้จันทราแต่นัยน์ตาดำนั้นเรืองแสง พร้อมทั้งเขี้ยวอันแหลมคม

ไม่ช้าร่างของนักโบราณคดีนั้นดูแก่ชราขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นซากแห้งผากล้มลงไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา ผิดกับสตรีวัยกลางคนนางนั้นกลับกลายเป็นเป็นหญิงสาสละสลวย ผิวพรรณเต่งตึงแทน

“ จงภูมิใจเสียเถอะที่ลิงอย่างเจ้ามีโอกาสเป็นส่วนนึงของแผนการอันยิ่งใหญ่ของพวกเราส่วนครอบครัวของเจ้าจะอยู่กินดีตลอดไปข้าสัญญา ”

ระหว่างกล่าวเธอหยิบกระจกขึ้นมาส่องใบหน้าอ่อนวัยของตนครู่หนึ่ง ก่อนที่ผู้เข้าร่วมประชุมชายอีกคนจะพูดขึ้นมา

“ ข้าเองก็อยากมีพลังมนตราแห่งโลหิตแบบเจ้านะ จะได้คงความหนุ่มสาวไปตลอดกาลได้แม้นพวกเราจะมีอายุขัยมากกว่าลิงพวกนั้น ...แต่ก็หนีความชราภาพไม่พ้นอยู่ดี ”

ชายคนนึงในที่ประชุมกล่าวระหว่างเสกดวงไฟดวงเล็กจากนิ้วมือพักนึงแล้วทุบโต๊ะอย่างเดือดดาล

“ ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งแค้น หากไม่ใช่เพราะมันล่ะก็ พวกเราที่สมควรมีพลังมนตราดุจพระเจ้ากลับต้องมาตกต่ำเพียงนี้ แถมยังลงคำสาปไม่ให้พวกเราเข้าไปย่างเท้าในที่ที่เคยเป็นของพวกเราจนต้องให้ลิงพวกนี้เอาเสนียดไปติดเพื่อค้นหาเบาะแสสิ่งที่เคยเป็นของพวกเรา !!! ”

“ จงอยู่ในความสงบ !!! ” น้ำเสียงกังวานทรงพลังสนั่นห้องบรรยากาศรอบห้องเงียบโดยพลัน ทุกสายตาจ้องมองไปยังบุคคลลึกลับสวมหมวกอารยธรรมโบราณในเงามืดแลเห็นเพียงดวงตาเปล่งอักขระลึกลับเรืองแสงท่าทางน่าเกรงขามและลี้ลับที่หัวโต๊ะ

บุคคลลึกลับเริ่มกล่าวปราศรัยให้ทุกคนฟัง

“ ในสมัยอดีตกาลแม้นพวกเราเคยแบ่งแยกด้วยอาณาจักรโบราณเพื่อสนองอุดมการณ์เดียวกันจนเลยเถิดไปเป็นสงคราม ทว่าตอนนี้เราต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเพราะพวกเราเหลือน้อยเต็มทน

อีกไม่นานหอคอยแห่งพลังมนตราที่ถูกปิดผนึกกำลังจะหวนคืนมาอีกคราและคราวนี้พวกเราจะบรรลุเป้าหมายที่บรรพบุรุษเราตั้งไว้ !!!

ครานี้เมื่อลิงทั่วโลกาพร้อมใจเปล่งวาจาเป็นภาษาเดียวกันด้วยถ้อยคำที่เราประสงค์ทุกถ้อยคำเราจะเอื้อมมือไปถึงพระเจ้าอย่างแน่นอน!!!

พวกเจ้าทุกคนจงส่งลิงรับจ้างไปสำรวจตามข้อมูลของคุณโจนส์ หากจำเป็นล่ะก็จงปิดปากพวกมันได้เลย !!”

พอสิ้นคำปราศรัย ผู้ประชมทุกคนลุกขึ้นมาเอามือทุบอกของตน

**“ เพื่อยูโทเปียบนยอดหอคอยบาเบล !!****”** เปล่งภาษาลึกลับอันเป็นรากของทุกภาษาบนโลกแต่ละคำดูน่าเกรงขาม น่าเลื่อมใส แล้วเดินออกจากห้องทิ้งบุคคลลึกลับ ณหัวโต๊ะไว้เพียงลำพังในท่าทางรำพึงรำพัน

"................... สุธนหนึ่งในพี่น้องร่วมสาบานเอ๋ย ข้าจำวันนั้นได้ดีในยุคแห่งเวทมนต์อาคมเมื่อลิงพวกนั้นนับถือพวกเราดุจสมมติเทพ หนึ่งแสนสามปีผ่านมาแล้วกระมัง ”

ย้อนไป 130000 ปีก่อนคริสต์ศักราช



ในห้องประชุมลึกลับมืดสลัว มีเพียงแสงรำไรจากเปลวเทียนมนตราสีฟ้าลุกไหม้โดยปราศจากเชื้อเพลิง ณใจกลางห้องปรากฏโต๊ะศิลาโบราณห้อมล้อมด้วยเก้าอี้หกตัวแต่ตอนนี้เว้นว่างไว้ตัวนึง

บรรยากาศดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งห้าต่างนั่งด้วยกิริยาสง่างาม ไม่กระดุกกระดิกดังปุถุชนแม้แต่น้อย

กระทั่งประตูห้องศิลาสลักลายโบราณอันวิจิตรเลื่อนเปิดออก ภาพหนุ่มฉกรรจ์หน้าคมสัน จมูกโด่ง ตาขึงขังผิวสีคล้ำดุจชาวอินเดียอารยัน ผมดำยาวและยุ่งแต่งกายด้วยผ้าโพกไหล่ข้างเดียว กางเกงทรงพอง รองเท้ากษัตริย์ปลายชี้สูง จุดดำบนหน้าผากเด่นเป็นสง่า

ผู้ประชุมคนนึงหันมากล่าวทักทาย

**“****ยินดีต้อนรับ เจ้าชายสุธนแห่งอาณาจักรอินดัส (อินเดีย) ผู้เป็นพี่น้องของเรา เจ้าชายแห่งสี่อาณาจักร ”**

ระหว่างการประชุมดำเนินไปนกตัวหนึ่งได้โบยบินขึ้นฟากฟ้า จนแลเห็นแผ่นดินแห่งห้าอารยธรรมโบราณเบื้องล่าง

ส่วนนอกเขตอาณาจักรเหล่านั้น เต็มไปด้วยสัตว์ยุคน้ำแข็ง มนุษย์ยุคหินไร้อารยธรรมร่อนเร่ไปมา

จนมันบินไปเกาะต้นแขนสตรีร่างครึ่งบนเป็นหญิงสาวครึ่งล่างเป็นนกสยายปีกขาวเปล่งประกายจากเส้นไหมสีขาวเรืองแสงนับไม่ถ้วนร้อยรวมกันนัยน์ตาอินทรีสีเทา เฝ้ามองความเป็นไปของโลกจากเบื้องบน

**“**ฟันเฟืองแห่งชะตากรรมได้หมุนขึ้นเมื่อเจ้า!! สุธนได้พบกับนางผู้นั้น ..... ”

จบบทเกริ่น และ..

ยินดีต้อนรับอยู่มหากาพย์แห่งผลึกสีแดงทุกท่าน

ปล. ตัวอักษรที่ ทำตัวหนาจะแสดงถึงภาษาของชนชั้นสูง ที่มีมนตราไว้สื่อสารกับชนชั้นสูงทั่วโลกเพียงภาษาเดียวนอกจากเป็นเพียงแค่ภาษาต่ำที่ชนชั้นสูงประดิษฐ์ไว้ให้ประชากรของตัวเองสื่อสารกันภายในอาณาจักรของตน

ปล.2 หากไม่ชอบตรงไหน การจัดวางหน้า สำนวน กรุณาช่วยชี้แนะ โพสบอกวิจารณ์ด่าเลยก็ได้ครับ จะเป็นพระคุณอย่างมาก แต่ถ้าชอบโพสชมก็ดีนะครับแหะๆ
 




  เชิญกรอกข้อความเพื่อตั้งคำถาม  
  กรุณา login เพื่อตอบคำถาม