วันที่ 3
พระราชวังบุเรงนอง
คชลักษ์ พระนอน พระนอนตาหวาน
ออกจากพระธาตุอินทร์แขวน นั่งรถกันนานพอควร สิ่งแรกทีทำเมื่อมาถึง
ก็คือ กินค่ะ ^--^
สังเกตไหมว่ากุ้งตัวโตขึ้นกว่าครั้งที่แล้ว ฮ่าๆๆ
อ้อ มีน้ำแข็งด้วย ลืมเล่าให้ฟังว่า โดยปกติคนพม่าไม่ค่อยจะกินน้ำแข็งค่ะ
มีแต่นักท่องเที่ยวคนไทยนี่แหละกิน ^--^
ถนนตรงข้ามร้านอาหารค่ะ เห็นไก่ย่างห้าดาวซีพีไหม?
คีออสเล็กๆหลังคาสีฟ้านั่น ขายหมากค่ะ หม่องพม่าชอบเคี้ยวหมากค่ะ ^--^
*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:
จากนั้นก็ไปชมพระราชวังบุเรงนอง
ที่ๆ ประทับของกษัตริย์จะกว้างขวางมาก คิดถึงพื้นที่สี่เหลี่ยม
แต่ละด้านจะมีห้าประตู แต่ละประตูจะห่างกัน สองกิโลเมตร
อย่างนี้น่าจะเรียกพระเ้จ้ายี่สิบทิศนะ
ประตูแต่ละด้านจะยังไม่ตั้งชื่อ จนกว่าว่าจะไปรบชนะเมืองไหน
กลับมาเข้าประตูไหนก็จะตั้งชื่อตามเมืองนั้น
เช่นไปรบที่อโยธยาชน ขากลับเข้าประูตูก็ตั้งชื่อว่า ประตูอโยธยา
ถ้าคิดพื้นที่เปรียบเทียบกับปัจจุบัน ว้าว วังหลวงนี่กินพื้นที่ร้อยตารางกิโลเมตรเชียว
แต่ยังเป็นโชคดีของประชาชนตอนนี้นะคะ ที่ัรัฐบาลพม่า
ไม่ค่อยจะใส่ใจสักเท่าไหร่กับวังของกษัตริย์ ไม่งั้นถูกเวนคืนที่ดินละก็ จ๋อย!
หือไม่ได้ด้วยสิ ทหารจะให้ความสำคัญกับการสร้างเจดีย์มากกว่าค่ะ
(
ประเทศสังคมนิยมก็งี้ ^--^)
พระราชวังนี้สมัยก่อนนั้นจะสร้างด้วยไม้สักและหุ้มทองค่ะ
มีทั้งหมด 42 หลังมั้งจำพอคุ้นๆ
แต่ตอนหลังหมดสมัยพระเจ้าบุเรงนอง ก็ถูกพวกยะไข่(ที่เคยอยู่มาก่อน) มาตีเอาคืน
และเผาทิ้งทั้งหมด ที่เห็นจึงเป็นส่วนที่รัฐบาลสร้างขึ้นมาใหม่ ไม่ได้เป็นไม้สักหุ้มทองเหมือนเดิมนะคะ
เสาปูนทาทองนี่แหละ
แต่ก็อย่างที่บอกทหารไม่ค่อยจะให้ความสำคัญ
จึงดูโทรมๆ ค่ะ แต่ก็พอจะเห็นความอลังการได้เหมือนกัน เอ้าดูรูปต่อไป ^--^
ด้านในเจอราชรถค่ะ แต่ฝุ่นเยอะ ^--^
มุมว่าราชการของพระเจ้าบุเรงนอง
ดูความอลังการของผนังด้านบน
เสาเรียงรายโดยรอบค่ะ ^--^
มุมนี้ถ่ายรูปสวยค่ะ
ว่าแล้วหัวหน้าทัวร์ก็ยืนให้ลูกทัวร์ถ่ายให้ ฮ่าๆๆๆ
ออกจากที่ว่าราชการ ก็มาดูที่ประทับค่ะ ภาพนี้คือที่บรรทมของพระเจ้าบุเรงนอง
เข้าไปก็จะเจอที่ประทับที่เต็มไปด้วยมูลค้างคาวค่ะ
ส่งกลิ่นเหม็นที่เดียว เชื่อว่าคนพม่าเขาไม่ค่อยจะให้ความสำึัคัญ
ในสิ่งนี้เท่าไหร่ เลยไม่มีการงบประมาณมาดูแล เก่ามีแต่ฝุ่นค่ะ
วันที่ไปก็มีแต่กรุปของพี่ฟีกรุปเดียวที่ไปชม ^--^
หลังคาแดงคลุมเสาไม้สักที่เหลือแต่ตอจากการเผาของพวกยะไข่จริงๆ ค่ะ
อยู่ตรงข้ามกับที่บรรทม สังเกตเห็นยอดเจดีย์ไหมคะ
ทุกเช้าพระเจ้าบุเรงนองตรงไปนมัสการพระเจดีย์ก่อนจะไปว่าราชการค่ะ
ตำหนักพระนางสุพรรณกัลยา น่าจะอยู่ด้านหลังนี้ไปอีก
เพราะเป็นสนมทรงโปรด
ตำราไทยพระนางถูกประหารชีวิต แต่ตำราพม่า
บอกว่าพระนางไปบวชชีค่ะ
ที่หน้าสนามตรงนี้ ไกด์เขาก็คุยให้ฟังค่ะว่า
เคยมีคนไทยมาทำพิธีอัญเชิญพระวิญญาณพระนางสุพรรณกัลยา
มีรูปมาวางเอาไว้ด้วย แต่พม่าเก็บออกไป
(ไกด์พูดแล้วก็หัวเราะค่ะ ^--^)
*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:
ออกจากพระราชวังบุเรงนอง ก็ไปดูช้างเผือกค่ะ
มีอยู่สามเชือกด้วยกัน เขาไม่ให้ถ่ายรูป เลยไม่มี
แต่ก็เป็นคร้งแรกที่เห็นช้างเผือกในชีัวิตค่ะ
ทังตัวเป็นสีชมพู แต่มีบางตัวเป็นสีดำๆ เหมือนช้างทั่วไป
แต่ก็มีลักษณะตามคชลักษณ์ที่เขาบอกค่ะ
ไกด์เขาว่า ตอนอาบน้ำสีผิวจะเปลี่ยนไปค่ะ ^--^
ว่ากันว่าขนช้างเผือกนี่ ป้องกันอันตราย อุบัติเหตุได้
พี่ฟีก็ซื้ออย่างทีเขาขดเป็นแหวนมาวงหนึ่งค่ะ สองพันจั๊ด
แต่ไม่รู้ว่าหลุดหายไปไหนตอนเช้ามาหาไม่เจอ ก็เลยแล้วไป ^--^
ออกจากดูช้างเผือกแล้วก็ตั้งใจว่าจะขึ้นเจดีย์ชเวดากอง
แต่ปรากฏว่าฝนตกค่ะ เลยไม่ได้ขึ้น
ไปนมัสการพระนอน ไม่รู้เขาเรียกว่าไงจำไม่ได้
แต่ที่ประดิษฐานเป็นไม้สักค่ะ และตามบันไดทางขึ้น
ก็จะมีแผงขายของ
ที่มีงานไม้่แกะสลักขาย
เขาว่าที่นี่ถูกและสวย แต่ก็ไม่ได้เงินพี่ฟีร๊อก! ^--^
นี่ค่ะชื่อวัด อ่านได้นิ ^--^
ไม้สักสวยมากค่ะ
ระหว่างทางที่กว่าจะไปถึงพระนอน
นี่ค่ะ ถึงแล้ว ได้กราบพระอธิษฐานเหมือนเดิม
พร้อมหย่อนเงินบริจาคแล้วค่ะ
*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:
จากนั้นก็ไปต่อที่วัดพระหยกค่ะ
ฝนเพิ่งหยุดตก ต้องระวังมากในเรื่องการเดิน ^--^
บันไดทางขึ้น มีสิงห์คู่เช่นเดิม
นี่ค่ะ พระหยกขนาดใหญ่มาก สลักจากหยกก้อนเดียวกันทั้งก้อนค่ะ
อยู่ในตู้กระจก ภาพถ่ายเลยสะท้อนนิดหน่อย ^--^
บริเวณโดยรอบมีสองด้านเหมือนกันค่ะคือ ที่แกะรอยพระพุทธบาทจากหินหยก
ภาพรอยพระพุทธบาทชัดๆ ค่ะ แกะจากหยกเช่นกัน
ภาพโดยรอบ จะมีบาตรหยกขนาดใหญ่ด้วยค่ะ ^--^
นี่ก็เป็นอีกมุมค่ะ
ยืนอยู่นั่นไม่ใช่พี่ฟีนะคะ ^--^
*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:
ออกจากวัดพระหยกแล้วก็มาที่ พระนอนตาหวาน ที่เลื่องชื่อค่ะ
พี่ฟีชอบเพราะงามมากค่ะ
มีความยาวเจ็ดสิบเมตร
ความเชื่อของเขาว่าพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพ
งานศิลปที่ถ่ายทอดออกมาจึงเห็นว่า พระจะเอิบอิ่มทาปาก ขนตายาวหกศอก ยิ้ม ^--^
ปลายพระบาทจะไม่ซ้อนทับเสมอกันค่ะ
พระพักตร์จะเขียนคิ้วทาปาก พระเนตรนั้นก็เป็นหยกค่ะ
เห็นแล้ว ที่เรียกว่า พระนอนตาหวาน นี่ ใช่เลยค่ะ
มาถึงก็ไหว้พระสวดอิติปิโส มีถ่ายรูปหมู่กันก่อนด้วยค่ะ
รอบๆ จะมีร้านขายของด้วย แต่เพราะฝนตกจึงปิดกันไปแล้ว
ถ่ายมุมที่ทำให้เห็นขนตายาวหกศอกค่ะ
ใครไปก็อย่าลืมถ่ายรูปมุมนี้ด้วยนะคะ ^--^
พระบาทปิดทองอร่าม แกะสลักงามมากค่ะ สังเกตเห็นแล้วใช่ไหม
ที่พระบาทไม่ซ้อนทับเสมอกัน ก็เป็นความเชื่อที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่นั่นแหละค่ะ
พระบาทจึงดูเป็นธรรมชาติอย่างนี้
^--^
*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:
ออกจากพระนอนตาหวานค่ำแล้ว ไปกินข้าวที่ภัตตาคารการเวก
เมื่อก่อนรัฐบาลเอาไว้รับแขกบ้านแขกเมือง
แต่ตอนหลังให้เอกชนเช่าเปิดภัตตาคาร สวยค่ะ ^--^
ภาพทางเข้าไปภัตตาคาร
เป็นเรือรูปนกการเวกอยู่ในทะเลสาปค่ะ
เข้าไปก็จะมี หนุ่มสาวแต่งตัวประจำเผ่าไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป
ที่ผู้หญิงคนกลางๆ ถือเอาไว้นั่น ไว้ใส่ทิปค่ะ พอดีไม่รู้เลยไม่ได้ใส่ ฮา
ภายในภัตตาคารก็ตกแต่งสวยค่ะ อาหารเป็นบุฟเฟห์ไม่ได้โชว์รูป
มีการแสดงบนเวทีด้วย
ไกด์เล่าว่าตั้งแต่ลูกสาวมาปกครองแทนพ่อ (เขาใช้คำว่า ปกครองแทนบริหารค่ะ ^--^)
ลูกสาวจะเน้นเรื่องการแสดงบนเวทีมาก วันหนึ่ง ๆ จะมีประมาณ 44 ชุด
ละเลยเรื่องรสชาติอาหารไปเลย ^--^
คนแต่งตัวเป็นช้างมาไถเงินข้างล่างก่อนจะขึ้นไปแสดงบนเวที
(ก็ช่างว่าเขาได้ ^--^)
กินข้าวเสร็จก็กลับโรงแรมนอนค่ะ
เพราะมีนัดไปเจดีย์ชเวดากองตอนตีห้า ^--^
*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:
วันที่ 4 ไปเจดีย์ชเวดากอง สิเรียม